เที่ยวMunich ชมEnglish Gardenสวนสาธารณะในเมืองที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

           









                 วันนี้ผมขอเล่าเรื่องราวการเที่ยวเมืองมิวนิคต่อจากep ที่ผ่านมา ที่พาไปเที่ยวดูนาฬิกาเต้นระบำกับไปชมพระราชวังNymphenberg ครับ     

              จากพระราชวังNymphenberg เรามุ่งหน้าไปเที่ยวEnglish Garden สวนสาธารณะกลางเมืองมิวนิค ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของเมือง เมื่อSearchจากGoogle map พบว่าต้องเดินไปขึ้น Tram สาย17 แล้วต่อรถBus สาย100 ใช้เวลารวม40 นาทีก็จะถึง 

            การใช้Munich card นี่แสนสะดวกไม่ต้องกังวลเรื่องการซื้อตั๋ว อยากขึ้นรถอะไร คันไหน เมื่อไรก็ได้  แต่ละป้ายจะมีจอบอกว่ารถแต่ละสายอีกกี่นาทีจะมาถึง ไม่ต้องนั่งลุ้นยืนลุ้น ชะโงกดูว่าเมื่อไหร่จะมาสักที     เราขึ้นTram สาย17 นั่งไปสักพัก พอถึงที่HBF Nord จึงลง แล้วเดินไปรอขึ้นรถบัสสาย100     รถบัสที่มิวนิคเป็นรถพ่วงคันใหญ่   ที่นั่งเยอะ สะอาด ผู้คนไม่แน่น ดูปลอดภัย  มีจอให้ดูบอกสถานีปลายทาง  เมื่อบอกสถานีที่จะถึงเราต้องกดออดครับ ไม่งั้นเลยป้าย 

             นั่งรถบัสมาราว15นาที ลงที่ป้าย Koniginstrabe  แล้วเดินไปนิดเดียวก็ถึงลำธารชื่อ Eisbach ที่น้ำไหลเชี่ยวลอดใต้สะพาน เป็นลอนคลื่นสูงราว 60 ซม ซึ่งเขาทำไว้เพื่อให้เล่นวินเซอร์ฟได้  มีนักเล่นวินเซิร์ฟ มาเล่นโต้คลื่น พลัดกันโดดลงน้ำโต้คลื่นกันอย่างเพลิดเพลิน ท่ามกลางสายตานักท่องเที่ยวที่มานั่งลุ้นนักวินเซิร์ฟ จุดนี้เป็นจุดที่ดึงดูดคนทั่วโลกให้มาเยี่ยมชมEnglish Garden





       ลำธารนี้ไหลผ่านEnglish Garden เราดูนักโต้คลื่นสักพักก็เดินตามลำธารเข้าไปในสวนสาธารณะEnglish Garden ที่มีต้นไม้น้อยใหญ่เริ่มเปลี่ยนสี บ้างก็ผลัดใบแล้วร่วงสู่พื้น ลำธารบางช่วงกั้นเป็นฝายน้ำล้น น้ำตก มีที่นั่งพักผ่อนหย่อนใจ บางช่วงไหลแรงผ่านทุ่งหญ้า  มองเห็นMonoptereros Temple อยู่บนเนินไกลๆ ดูแล้วเพลินตา




         สวนสาธารณะนี้ไม่เก็บตังค์ครับ เดินเข้าชมได้ จะเห็นผู้คนมาเดินเล่น บ้างก็วิ่งออกกำลังกาย บ้างก็พาหมามาเดินออกกำลังกาย ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น 5 องศา ซึ่งคงเป็นอุหภูมิที่เย็นสบายสำหรับชาวมิวนิคที่มาพักผ่อนหย่อนใจ ส่วนสำหรับเรา  หนาวววววมากครับ

          


สวนสาธารณะนี้กว้างใหญ่มากถ้าเทียบกับสวนลุมพินี ก็ 7สวนรวมกันครับ แต่เรามีเวลาไม่มากพอเดินได้เพียงเสี้ยวเดียวของสวน  

         เราเดินสักพักก็เดินกลับไปขึ้นรถราง เพื่อไปที่Marialplazเพื่อจะไปขึ้นโบสถ์ St.Peterชมวิวมิวนิคยามเย็น    เราจึงเดินไปขึ้นรถรางสาย16 ตามที่อากู๋ บอก  ยุคนี้เที่ยวง่ายครับไม่ต้องกลัวหลง อยากไปไหนก็ถามอากู๋ได้เพียงแต่ต้องรู้ชื่อสถานที่ที่เราจะไป รวมทั้งจำชื่อโรงแรมที่เราพักให้ได้(มีนะครับ บางท่านมากับทัวร์ ออกไปเที่ยวเองแล้วจำโรงแรมที่พักไม่ได้ กลับที่พักไม่ถูกครับ) 

         


 นั่ง
Tramสาย16 ได้ราว10 กว่านาทีก็ถึงป้ายหยุดรถ Reichenbachplatz ตามที่อากู๋บอก แล้วเดินต่อไปตามเส้นทางที่อากู๋นำทางไปราว7 นาทีก็ถึงโบสถ์ St.Peter ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับ Mariealplaz ตรงข้ามกับศาลาว่าการตรงที่มีหอนาฬิกาเต้นระบำนั้นแหละครับ เดินเข้าไปทางข้างๆโบสถ์จะมีร้านค้าเล็กๆ คล้ายๆกับร้านขายของที่ระลึก เป็นที่ขายตั๋วและอยู่หน้าทางขึ้นบันไดไปยอดโบสถ์ ตั๋วราคา5 ยูโรต่อคน 

โบสถ์ St.Peter


บูทขายบัตรตรงทางขึ้นโบสถ์ St.Peter

         ได้ตั๋วแล้วก็เดินขึ้นเลยครับ เป็นทางเล็กๆ ต้องเดินทีละคน หากมีคนสวนมาฝ่ายหนึ่งต้องรอหลีกทางให้ครับ  บันไดมีทั้งเป็นปูนบ้าง   ไม้บ้าง เหล็กบ้าง เรา ค่อยๆไต่ขึ้นไปเดินจนเหนื่อยไม่ถึงสักที ทีแรกคาดว่ามี8 ชั้น ปีนไปพักไปไม่ถึงยอดสักที จะลงดีไหม 



          สุดท้ายปีนไปจนถึงชั้น 14 ถึงตรงจุดชมวิว อากาศเย็นวูบปะทะตัว ข้างบนลมแรงและหนาวเย็น เดินวนรอบตามทางเดินที่มีรั้วเหล็กครอบทางเดินโดยรอบ สามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองมิวนิค รอบทิศทาง  ตอนนี้เวลาประมาณ4 โมงเศษๆฟ้ายังไม่มืด(ฤดูใบไม้ร่วงฤดูหนาว ฟ้ามืดเร็วราวๆ4โมง5โมงเย็นก็มืดแล้ว ต่างจากฤดูร้อนสี่ห้าทุ่มพระอาทิตย์ยังไม่ตกดิน) มิวนิคยามอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า สวยงามมาก หายเหนื่อยเลยครับ ถ้าหากไม่ขึ้นมาคงเสียดายน่าดู 

           มองลอดรั้วเหล็กลงไปเห็นหอนาฬิกาเต้นระบำ อยู่ใกล้ๆต่ำลงไปนิดหน่อย นี่ถ้ามาตรงเวลานาฬิกาเต้นระบำคงเป็นจุดชมที่สุดบรรยาย 

    





     เดินชมวิวจนอิ่มตา แต่ท้องเริ่มหิว(ไม่หิวได้ไงครับเพิ่งมาถึงวันแรกยังปรับตัวไม่ได้ เวลาเมืองไทยตอนนี้ราวๆ 5 ทุ่ม) จึงค่อยๆเดินลงอย่างระมัดระวังเพราะบันไดสูงชัน พลั้งพลาดตกลงมาคงลำบากมาก ระหว่างลงสวนทางกับคนขึ้นไปเป็นระยะๆต่างคนมีทีท่าอิดโรยเลยบอกเขาไปว่าอีกนิดเดียวถึงที่หมายแล้ว ทำให้เขามีแรงฮึดขึ้นมาปีนบันไดต่อไป 


     




    
ลงมาถึงข้างล่าง มืดพอดี เปิดอากู๋หาทางไปร้านขาหมูชื่อดัง เดินไปราว 10 นาทีก็ถึง

ร้านขาหมู โชว์ห้องครัวหน้าร้าน เห็นขาหมูเสียบไม้ย่างที่เตา ส่งกลิ่นหอมกรุ่นถึงด้านนอกร้าน 



 จึงเดินเข้าไป ร้านนี้ลูกค้าแน่น แต่ก็พอมีที่ว่างให้เรา3 คน พนักงานพาเรา เข้าไปนั่งโต๊ะว่างใกล้ครัว ที่มีเตาย่างขาหมู ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นถึงกับต้องถอดเสื้อคลุมออก พนักงานที่นี่เอาใจใส่ลูกค้าดีครับ ช่วยเราเลือกเมนูอาหารที่คิดว่าเหมาะกับเรา (เที่ยวเยอรมันไม่ยากครับ ใช้ภาษาอังกฤษ สื่อสารได้) เราสั่งขาหมูย่างขาใหญ่ พร้อมไส้กรอก 1 จาน น้ำซุป  รวมทั้งเบียร์แก้วใหญ่ และSparkling Water พร้อมบอกพนักงานเสริฟว่าเราจะแชร์กันกิน ขอจานเปล่า3ใบ (วัฒนธรรมของชาวเยอรมันจะทานจานใครจานมัน  จ่ายใครจ่ายมัน  แต่ละชามมีขนาดใหญ่ อย่างเช่น ขาหมูขาใหญ่เขาทานคนเดียวหมด )พนักงานเข้าใจคนเอเชียในวัฒนธรรมการแบ่งกันทาน จัดจานพร้อมส้มและมีดให้คนละ 1 ชุด  


    





       จาน 
ขาหมู มีมันฝรั่งบดเหนียวๆก้อนโต พร้อมมีเครื่องเคียงคล้ายๆหัวผักกาดสีขาวๆที่เป็นเส้นฝอย   และอีกชามน่าจะเป็นหัวผักกาดม่วง  ทั้งสองอย่าง รสชาติเค็มๆ  ที่นี้ไม่มีน้ำจิ้มซีฟูดหรือซีอิ้วดำ แบบบ้านเรา  ขาหมู เปื่อยดี ทานแล้วนุ่มลิ้น รสชาดเค็มนิดๆรสชาดอร่อย ยิ่งได้ซดเบียร์สดตามเข้าไปสุดจะฟิน   





พนักงานเดินมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง เรายกนิ้วให้ ยอดเยี่ยม  ทานจนอิ่ม พุงกางแต่เรา3 คนทานไม่หมด จึงต้องพยายามจัดการให้เหลือน้อยที่สุด ที่เยอรมันเขาจะไม่กินเหลือทิ้งเหลือขว้างแบบบ้านเราครับ ราคาอาหารที่เยอรมันหากเทียบกับที่สวิสเซอร์แลนด์แล้วถือว่าที่เยอรมันราคาถูกกว่าพอสมควรครับเราจึงรู้สึกว่าไม่แพง(แต่อย่าเทียบกับบ้านเรานะครับ แค่น้ำเปล่าขวดละ4ยูโรหรือ150บาท)  ที่นี่ไม่รวมค่าบริการหรือทิปครับ แล้วแต่จะให้  เวลาเก็บตังค์พนักงานจะนำเครื่องรูดเงินมาหาเราที่โต๊ะ จะจ่ายเป็นเงินสด หรือบัตรเครดิตก็ได้ แต่เราจ่ายด้วยTravel Card เอาไปแตะที่เครื่องก็เรียบร้อยไม่ต้องกดรหัสครับ ส่วนที่สวิสเซอร์แลนด์ต้องกดรหัสบัตร (ซึ่งคราวที่ผมไปสวิสใช้Travel Card ไม่ได้เพราะลืมรหัส)

     



           จากนั้นเดินเล่นย่อยขาหมูที่ย่านMarialplatz สักพัก ยามราตรีผู้คนไม่ค่อยเยอะ  ถนนมีรถราง  และผู้คนขี่จักรยาน รวมทั้งscooter กันขวักไขว่  เราเดินเล่นสักพักรู้สึกว่าอากาศเริ่มเย็นลง จึงใช้อากู๋หาทางกลับที่พัก อากู๋บอกให้เราเดินไปขึ้นTram สาย19 ที่ป้ายใกล้ๆ เรานั่งไปราว10นาทีก็ถึงสถานี Holzkirchr Bahnhof ที่อยู่ใกล้ที่พัก เดินต่อไปอีก 2 นาทีกถึงโรงแรม  เที่ยวด้วยตนเอง ยุคนี้การเดินทางชัดเจนครับมีอากู๋ช่วยไม่ต้องกลัวหลง  เพียงแต่ตอนขึ้นรถรางหรือรถบัส ขึ้นให้ถูกป้ายหรือถูกฝั่งเท่านั้นเอง ซึ่งก็ดูไม่ยากที่ป้ายจะมีบอร์ดแสดงว่ารถจะวิ่งไปทางสถานีใด หรือหากเราขึ้นผิดฝั่งก็ไม่ยาก ลงสถานีถัดไปแล้วข้ามไปอีกฝั่งนั่งย้อนกลับ แค่นั้นเอง ส่วนค่าโดยสารไม่ต้องห่วงถ้าเราใช้ตั๋วเบ่ง Munich Card ซึ่งวันนี้เราขึ้น-ลงTram หลายเที่ยว ไม่เจอนายตรวจเลย แต่ก็เห็นผู้โดยสารที่ไม่มีตั๋วโดยสารพอขึ้นรถก็จะตรงไปซื้อตั๋วที่ตู้บนรถ แล้วสอดเข้าเครื่องStampตั๋วโดยสาร แล้วไปหาที่นั่งที่ยืน 

   





            วันนี้กว่าจะถึงที่พักก็2ทุ่มกว่า   เหนื่อยพอควรเดินเที่ยวMunich ทั้งวันตั้งแต่ลงเครื่องบิน 7  โมงเช้า โชคดีที่ได้หลับยาวบนเครื่องบิน  เมื่อถึงโรงแรมที่พักก็ทำการCheck in ลากกระเป๋าที่ฝากเข้าห้องพัก   โรงแรมที่นี่เก็บค่าห้องทันทีเมื่อเข้าพัก รวมทั้งค่าภาษีท้องถิ่นรายวันต่อคนด้วยครับ ใช้Travel Card จ่ายไปครับไม่อยากใช้บัตรเครดิตเพราะจะต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือค่าความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มให้แก่ธนาคารเมื่อตอนเรียกเก็บเงิน   ห้องพักโรงแรมไม่ใหญ่นักครับ ขนาดประมาณ 20  ตรม. มีเตียงใหญ่ 1 เตียงและเตียงเล็ก 1 เตียง นอน 3 คน มีห้องน้ำ อุปกรณ์ครบ สบายๆครับ อาบน้ำอาบท่า นำAdapterที่เตรียมมาเสียบเต้าและต่อปลั๊กพ่วง เสียบชาร์จมือถือของทุกคน   พร้อมจัดเตรียมเสื้อผ้าเพื่อเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไป 5 ทุ่ม (ตี5 บ้านเรา) หมดพลัง หลับปุ๋ยครับ

     


เที่ยวเมืองMunich เมืองหลวงแห่งรัฐบาวาเรีย ดูนาฬิกาเต้นระบำอันลือชื่อ

    

Marienplatz
 

                     เช้าวันที่ 7 พ.ย หลังจากที่ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมที่พักแล้ว พวกเราเริ่มต้นเที่ยวเมืองมิวนิคทันที  จุดหมายแรกคือ Marienplatz จะไปดูนาฬิกาเต้นระบำหรือ Glockenspiel ซึ่งจะมีเวลา11 โมง และเที่ยงวัน ของทุกๆวัน(ถ้าฤดูร้อนเพิ่มรอบห้าโมงเย็น) การเดินทางต้องนั่งรถรางซึ่งตั๋วMunich ticket ที่เรามีใช้ได้ทั้งวัน การไปเราไม่ต้องกลัวหลงครับ หาจากgoogle maps เพื่อหาrouteการเดินทางซึ่งจะบอกให้เสร็จว่าขึ้นรถตรงไหนเวลากี่โมง ลงที่ไหนอย่างไร เราให้googleนำทางครับ เมื่อถึงป้ายจอดรถ รอรถรางพอมาถึงก็ขึ้นได้เลยครับเรามีตั๋วเบ่งแล้วนี่ ส่วนหากผู้โดยสารใดถ้าไม่มีตั๋วก็สามารถซื้อที่ตู้อัตโนมัติที่บนรถได้เลย นำตั๋วไปกดที่ตู้สีน้ำเงินเพื่อvalidateตั๋วก่อนนะครับหากไม่ทำนายตรวจมาเจอก็ถูกปรับเช่นกัน   ป้ายรถรางจะมีเครื่องหมายH ตัวโตๆ ครับ (H มาจากคำว่า Haltestelle แปลว่า Stop) จอดทั้งรถบัส รถรางครับ


            จากด้านหน้าโรงแรมเรานั่งรถรางสาย16 ลงที่Karlsplatz  จัตุรัสนี้จะมีลานน้ำพุ เป็นLandmarkที่สำคัญ แต่เวลาที่เราไปน้ำพุไม่ได้เปิด มีแต่ผู้คนนั่งเล่นรอบๆน้ำพุ จึงไม่เป็นที่ดึบดูดใจให้ชม   เราจึงเดินต่อไป ที่Mareinplatz ซึ่งไม่ไกลนัก ต้องรีบเดินจ้ำเพราะใกล้เวลา11 โมง   สักพักเสียงระฆังโบสถ์ ดังกังวานแหง่งง่าง เรามาถึงจัตุรัสMarienplatz พอดี มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากยืนอยู่กลางลานจัตุรัสต่างถือกล้องเล็งไปยังหอนาฬิกที่ศาลาว่าการ  ซึ่งมีตุ๊กตากลอยู่2 ชั้น ชั้นบนเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของนักรบบาวาเรียน      ชั้นล่างเป็นการเต้นระบำพื้นเมือง ตุ๊กตานี้จะเคลื่อนไหวตามกลไกของนาฬิกา  




            และแล้วตุ๊กตาชั้นบนก็เริ่มเคลื่อนไหวเดินวนไปทางซ้าย พร้อมเสียงเพลงจากระฆังนาฬิกา   เมื่อตุ๊กตาชั้นบนเล่นจบ   สักพักตุ๊กตาชั้นล่างเริ่มเคลื่อนไหว  สมใจกับที่รอคอย  นาฬิกาเต้นระบำนี้เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของมิวนิค เป็นสิ่งที่ดึงดูดผู้คนทั่วโลกมาเที่ยวมิวนิค หากใครไม่เห็นช่วงนาฬิกาเต้นระบำถือว่ายังไม่ถึงมิวนิคครับ


             ดูนาฬิกาเต้นระบำ พร้อมถ่ายรูปบริเวณจัตุรัส จนหนำใจแล้ว จึงเดินสำรวจย่านจัตุรัสmarienplatz ซึ่งเป็นจัตุรัสที่กว้างใหญ่เป็นที่ตั้งขอศาลาที่วาการเมืองมิวนิค ฝั่งตรงข้ามมีร้านค้า สินค้าแบรนด์เนม ร้่นกาแฟชื่อดัง และร้านอาหารที่มีโต๊ะอาหารเก้าอี้นั่งตรงลานหน้าร้านไว้ให้ลูกค้านั่งทานอาหารพร้อมกับเพลิดเพลินผู้คนที่เดินผ่านไปมาร้านแบบนี้เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวชาวยุโรป 




       เดินเที่ยวและถ่ายรูปที่จัตุรัสจนหนำใจแล้วจึงเดินไปทางขวาของจัตุรัส จะเห็นAltes Rathaus ซึ่งเป็นTown hallและหอนาฬิกา ซึ่งมีความสวยงามมาก



 ถัดไปเป็นตลาดนัดซึ่งมีร้านค้าส่วนใหญ่เป็นร้านอาหารที่มีทั้งอาหารสด ประเภท เนื้อ แฮม ไส้กรอก และร้านอหารสำเร็จรูปจำพวกฮอทด๊อก ไส้กรอก ขาหมู ร้านดอกไม้ ร้านจำหน่ายเบียร์สด 






ได้เวลาอาหารเที่ยงพอดี  ทนความเย้ายวนของขาหมูไม่ไหว เลยขอมื้อแรกที่เยอรมันด้วยเมนูง่ายๆ จึงซื้อ เบอร์เกอร์ไส้กรอก  เบอร์เกอร์ขาหมู ไปนั่งทานที่โต๊ะในบริเวณลานเบียร์ ไม่พลาดที่จะซื้อเบียร์สดแก้วใหญ่มาดื่ม รสชาติอร่อยถูกปากและถูกใจ แต่ยังไม่หนำใจมื้อเย็นต้องไปหาร้านขาหมูเจ้าดังของมิวนิค ทานให้ได้ 



            ท้องอิ่มแล้ว ไปเที่ยวต่อ จะเดินทางไปพระราชวังNymphenberg เริ่มจากเปิดGoogle map แล้วหาปลายทางครับ อากู๋บอกเราหมดครับให้ไปขึ้นรถTram สายใด ที่ไหน เวลาใด เราเดินไปตามนั้นครับเนื่องจากเรามีตั๋วMunich card day pass ที่ขึ้นรถสาธารณะใดก็ได้ขึ้นรถรางเป็นว่าเล่น ขึ้นๆลงๆ อีกทั้งเห็นว่าใช้Google map หาได้ง่ายที่หน้างาน และเส้นทางที่จะไปจุดหมายแต่ละช่วงสายรถรางอาจเปลี่ยนจากเดิมเพราะบางจุดสามารถขึ้นสายตรงไปถึงจุดหมาย บางจุดอาจต้องขึ้นและเปลี่ยนสาย  ดังนั้น บางช่วงผมจึงไม่ได้จดบันทึกสายรถราง รถบัส ไว้ครับ 

           จากตลาดนัดใกล้ๆMarianplatz นั่งรถรางสาย17 ใช้เวลาราว40นาที  ซึ่งต้องเดินไปอีกราว700 เมตร จึงถึงพระราชวังครับ หากมาด้วยรถส่วนตัวหรือรถนำเที่ยว รถสามารถจอดที่ลานกว้างหน้าพระราชวังได้ครับ   


 


 
พระราชวัง Nymphenberg ซึ่งเป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์บาวาเรีย  เมื่อเดินถึงลานกว้างจะมองเห็นพระราชวังสถาปัตยกรรมบาวาเรียนตั้งเด่นเป็นสง่า  ข้างในพระราชวังถูกแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ แสดงภาพวาด งานศิลป์ และเฟอร์นิเจอร์ ให้ชมซึ่งต้องเสียค่าเข้าชม


  แต่ผมไม่ถนัดชมพิพิธภัณฑ์ จึงเดินไปส่วนด้านหลังพระราชวังมีอุทยาน มีลานที่สวยงามสามารถเข้าชมได้ฟรี  รวมทั้งเดินชมสวนป่าด้านข้างวัง  สวนป่าช่วงใบไม้ร่วง ใบไม้เปลี่ยนสี สวยงามน่าดูชม 






จากนั้นเดินมาที่สระน้ำหน้านพระราชวัง  เพลิดเพลินชมฝูงเป็ด ฝูงหงส์ว่ายน้ำพร้อมส่งเสียงร้องสดใส แต่อย่าเดินเพลินนะครับระวังเหยียบขี้เป็ดจะทำให้เหม็นติดรองเท้าไปนานเลยครับ



         จากNymphenberg เราจะไปเที่ยวต่อยัง English Garden สวนสาธารณะกลางกรุงที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปครับ



     

เที่ยวเยอรมันด้วยตนเอง: การเดินทางจากMunich Airport เข้าเมืองMunich

       

เมือง Munich 

              หลังจากเตรียมพร้อมการเดินทางแล้ว วันนี้ถึงกำหนดบิน นำรถไปจอดที่ลานจอดรถระยะยาวแล้วนั่งShuttle bus มาที่อาคารผู้โดยสารขาออก Check in และผ่านตม.ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรเพราะผู้โดยสารขาออกเนืองแน่นสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ก็ยังพอมีเวลานั่ง     เลานจ์ของสายการบิน ทานอาหารรองท้อง ก่อนไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่Gate  ขึ้นเครื่องการบินไทยราวเที่ยงคืนกว่าๆ   เครื่องออก 01.20 น.ของวันที่6 พ.ยช้ากว่ากำหนดเกือบชั่วโมง บินตรงสู่มิวนิคใช้เวลา11ชั่วโมง 55 นาทีนั่งนอนบนเครื่อง เจ้าจำปีโฉมใหม่ซึ่งสะดวกสบาย บริการที่ดีมีอาหารให้ทาน2มื้อ หลังขึ้นหนึ่งชั่วโมงและก่อนลงเครื่อง2 ชั่วโมง ทานอาหารเช้าเสร็จ ท้องฟ้าเริ่มสว่าง มองด้านล่างเห็นเทือกเขาที่ยอดเขาปกคลุุมด้วยหิมะขาวโพลนน่าดูชม สมกับที่อยากมาสัมผัสยุโรปช่วงอากาศหนาว  

เจ้าจำปีสีม่วงพาเรามาถึงสนามบินMunich ราว 7.10 น. ของวันที่6 พ.ย66 ช้ากว่ากำหนดเพียง15 นาที เวลาที่นี่ช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง(บ้านเราก็บ่ายโมง)  นับว่าเป็นเที่ยวบินที่เวลาเหมาะสมที่สุด บินก็ไม่นานเกินไป  ดีจังแป๊ปเดียว ขึ้นเครื่องตีหนึ่ง นั่งๆนอนๆ ตื่นมาเป็นเวลารุ่งเช้า ถึงมิวนิค พอดี

              เครื่องจอดที่Terminal 2  ออกจากงวงเทียบเครื่องบิน เดินตามผู้โดยสารอื่นไปตามทางขึ้นบันไดเลื่อนไป3 ทอดหรือ 3 ชั้นก็ถึงห้องโถงตรวจคนเข้าเมือง ไปเข้าคิวตรงNon Europian Residence  ผู้คนรอคิวเยอะพอควร แต่มีช่อง ตม.ราว6 ตู้  ทำให้รอไม่นานก็ถึงคิว คณะเรามากัน3คน ผมเลยชูภาษากาย3 นิ้วขอเข้าไปพร้อมกันเขาพยักหน้า เลยพากันเข้าหา ตม.พร้อมกันทีเดียว  พอยื่นพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่ ตม. ถามว่าจะไปไหนบ้าง อยู่กี่วัน พร้อมขอดูตั๋วโดยสารขากลับ  ยื่นให้เขา  เจ้าหน้าที่ตรวจดูสักพัก ก็ประทับตราทีละคน เป็นเสร็จพิธี 

              จากนั้นลงมารับกระเป๋า ซึ่งต้องรอสักพักกว่ากระเป๋าใบแรกจะออกมา  นับว่าพิธีการตรวจคนเข้าเมืองใช้เวลาไม่นาน   บางแห่งกระเป๋าวนอยู่บนสายพานหลายรอบกว่าผู้โดยสารจะผ่านตม.มารับกระเป๋า  สรุปใช้เวลาตั้งแต่เครื่องจอดที่สายพานจนถึงรับกระเป๋า1ชั่วโมงพอดี 

              รับกระเป๋าเสร็จ แวะห้องน้ำ ซึ่งที่นี่กว้างใหญ่กว่าสุวรรณภูมิบ้านเรา  จากนั้นออกมาที่พักรอหน้าห้องน้ำ เปิดกระเป๋าใบใหญ่เอาเครื่องกันหนาวสวมใส่เตรียมสัมผัสกับความหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียว พร้อมแล้วลากกระเป๋าเดินผ่านพิธีการศุลกากรตรงช่องไม่มีสิ่งของที่สำแดง เจ้าหน้าที่มองผ่านๆแล้วให้เราออกประตูผ่านไปโดยไม่ตรวจอะไรเลย รู้งี้เอาหมูแดดเดียวมาสักกิโล(ยุโรปเขาห้ามนำเนื้อสัตว์เข้าประเทศ) แต่ถ้าเขาตรวจก็คงอ่วมเป็นแน่   


ห้องโถงสนามบินมิวนิค หลังจากผ่านศุลกากร
ออกจากgate ลากกระเป๋าเดินตามเครื่องหมายS เพื่อจะไปขึ้นรถไฟสายS1 หรือ S 8 ซึ่งอยู่อาคารตรงข้ามทางออก(ซึ่งทั้งสองสายไปยังสถานีรถไฟMunich Hbf เช่นเดียวกันเพียงแต่ไปวนซ้ายหรือขวาเท่านั้นเองครับ แต่ถ้าใครจะลงสถานีกลางทางก็ต้องศึกษาก่อนว่าสายใดวิ่งใกล้ที่สุด  ) หาซื้อตั๋ว Munich Card day ticket สำหรับ3 คน ตามที่ได้ศึกษาเส้นทางมา แต่ผิดคาดครับหาทางไปไม่เจอเสียเวลาอยู่สักพัก ต้องสอบถามเจ้าหน้าที่ที่Information Box จึงได้ทราบว่ารถไฟหยุดบริการช่วงนี้ 15 วันเนื่องจากปรับปรุงเส้นทางรถไฟ แต่มีรถบัสแทน(Replacement Bus)

เส้นทางรถไฟสายS1และS8 จากสนามบินสู่ สถานีรถไฟกลางมิวนิค

  เลยขอซื้อตั๋ว Munich  card  day Ticket(Group Ticket) กับเจ้าหน้าที่ ราคา 27.80 ยูโร เขาบอกใช้ได้ถึง5 คน แต่เรามีแค่ 3 คน คุ้มค่าครับและสามารถใช้นั่งรถไฟเข้าเมืองได้ และใช้นั่งรถสาธารณะทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถบัสและรถราง ในMunich ได้ตลอดวัน24 ชั่วโมง
 ในzone M- 5 นับว่าคุ้มค่ามาก หากเป็นตั๋วคนเดียวหรือMunich Card Single Ticket ราคา 19.6 ยูโร หรือถ้าซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียวจากสนามบินไปสถานีรถไฟ Munich HBF ราคา1 คน 11.5 ยูโร ดังนั้นการซื้อตั๋วMunich Card แบบกลุ่มถือว่าถูกและคุ้มค่ามากๆ

               เมื่อได้ตั๋วแล้วเขียนชื่อผู้โดยสารลงไปในตั๋วให้ครบทุกคน หากไม่เขียนหากเจอนายตรวจจะถูกปรับครับ  

Munich Day Ticket

ด้านหลังMunich Day Ticket

            จากนั้นจึงลากกระเป๋าขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนเพื่อขึ้นรถบัสที่เขาจัดให้ทดแทนรถไฟ  รถบัสพาไปส่งที่สถานีรถไฟกลางทางห่างไป2 สถานี เพื่อให้ขึ้นรถไฟที่จะมารับผู้โดยสารที่สถานีนี้ไปยังเส้นทางประจำมุ่งสู่ Munich hbfต่อไป ลากกระเป๋าขึ้นลิฟท์เพื่อขึ้นสะพานลอยข้ามถนนที่สูงกว่าตึก2 ชั้น ไปลงที่สถานีรถไฟอีกฝั่งหนึ่ง ทุลักทุเลพอสมควร  จากนั้นรอขึ้นรถไฟสาย S 8 ผู้โดยสารรอรถไฟที่สถานีราว 150 คน รอสักพักรถไฟมาเทียบชานชาลาผู้โดยสารต่างก็รีบลากกระเป๋าขึ้นรถไฟ  รถไฟนี้ถ้ามีตั๋วแล้วขึ้นได้เลยเลือกที่นั่งตามชอบใจ เจ้าหน้าที่ค่อยมาตรวจตั๋วที่หลัง หากไม่มีจะถูกปรับหลายเท่าของราคาตั๋ว แต่วันนี้ไม่เจอเจ้าหน้าที่หรือนายตรวจเลย



          รถไฟวิ่งเร็วราว100 กม/ชม ผ่านทุ่งหญ้า พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ที่ต้นไม้เปลี่ยนสี มีบ้านเรือนอยู่ประปราย  รถไฟวิ่งใช้เวลาราว30นาทีก็มาถึงสถานี Munich HBF Central  Station ซึ่งทั้งรถไฟสาย S8 และ S 1 ชานชาลาจะอยู่ใต้ดิน ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นมายังสถานีกลางมิวนิค (Munich HBF)  ซึ่งเป็นสถานีเก่าแก่ ห้องโถงก็ไม่ใหญ่โตมากนัก  มีร้านขายของ ร้านอาหาร ไม่มีSuper Market แต่มีชานชาลาราวๆ30 ชานชาลาในระดับบนดิน   สถานีนี้สามารถนั่งรถไฟต่อไปเมืองอื่นๆได้เลย หรือจะออกไปนอกสถานีต่อรถBus   รถราง(Tram )ได้เลย  

          เป็นอันว่าการเดินทางเข้าเมืองMunich วันนี้ถึงแม้ว่าเครื่องบินจะมาค่อนข้างตรงเวลา แต่เสียเวลาเดินทางเข้าเมืองนานพอสมควร เดิมคาดว่าจะถึงMunich hbfราว9 โมงก็กลายเป็น10โมง    

     เราจองที่พักใกล้ๆสถานีMunich HBF และศึกษาเส้นทางมาอย่างดี พอมาเจอของจริง กลับหลงทิศ หวังพึ่งInternet จากsim cardที่ซื้อมาจากเมืองไทยก็สัญญาณอ่อน  จึงลากกระเป๋าออกจากสถานีรถไฟทางประตูด้านขวามือ กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ใช่ก็เดินไปได้กว่า500 เมตรแล้ว  จึงย้อนกลับมาตั้งต้นที่สถานี หาพิกัดใหม่ จนพบพิกัดที่ถูกต้องว่าต้องออกประตูทางด้านซ้ายมือ จึงลากกระเป๋าข้ามถนนเดินไปตามทางเท้าไปโรงแรม ถนนที่มิวนิคข้ามง่ายตามสัญญานไฟ รถหยุดทุกคัน ไม่ต้องห่วงว่าจะมีมอเตอร์ไซด์ซิ่งฝ่าไฟแดงหรือบนฟุตปาท

Tram ผ่านด้านข้างโรงแรมที่พัก


         โรงแรมที่เราพักอยู่ห่างจากสถานีราวๆ600 เมตรใช้เวลาเดิน8 นาทีก็ถึง  แต่ยังไม่ถึงเวลาเช๊คอิน จึงได้ฝากกระเป๋าไว้  แล้วออกไปเที่ยวเมืองMunich 


    

      


   

เตรียมตัวเที่ยวเยอรมัน ออสเตรีย และฝรั่งเศสด้วยตนเอง

 



  สวัสดีครับ ได้เวลาท่องเที่ยวอีกแล้วครับ คราวนี้ไปเที่ยวเยอรมัน ออสเตรียและฝรั่งเศสช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทริปนี้เตรียมตัวไม่มากนัก ราว3 เดือนต่างจากทริปแรกที่ไปเที่ยวสวิส8 วันเตรียมตัวกว่า6 เดือน  ทริปนี้กะไปเที่ยวราว2 อาทิตย์ จึงขอเล่าเรื่องการเตรียมตัวสู่กันอ่านครับ

         เริ่มต้นหาflightบินที่โดนใจ ทั้งราคาและตารางบิน ตามวันไป-กลับที่เราต้องการปลายทางFrankfurt,Munichหรือ Paris มีทัังบินตรงและต่อเครื่อง โดยหาจากสายการบินโดยตรง และจากApp การจองการเดินทางต่างๆ  เลือกอยู่เกือบอาทิตย์ สุดท้ายลงตัวที่การบินไทยที่บินตรงสู่มิวนิค12 ชั่วโมง ส่วนขากลับได้flightบินจากปารีส ตรงสู่สุวรรณภูมิ ซึ่งการจองเที่ยวบินนี้ต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิตทันที และไม่สามารถCancel ได้ เท่ากับว่าเราได้ตัดสินใจว่าไปแน่ๆตามวันเวลานั้นๆ ผมจองจากApp ของ…com เมื่อได้รับการConfirm แล้ว ไปเปิดดูจากwebsiteของการบินไทยอีกทีหนึ่งพบว่ามีชื่อเราอยู่ในระบบของสายการบิน จึงมั่นใจว่าไม่ถูกหลอก 



         จองเที่ยวบินเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องจองที่พัก จึงมากำหนดแผนการเดินทางว่าจะไปเที่ยวใหนบ้าง ซึ่งต้องวางแผนให้ดีจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าไปมา  โดยSearch หาแหล่งเที่ยวและการเดินทางตามรีวิวต่างๆคร่าวๆ ได้แหล่งท่องเที่ยวที่ต้องการแล้ว จึงplot แหล่งท่องเที่ยวลงในแผนที่ เพื่อดูการเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวต่างๆว่าใกล้กับเมืองหลักใดบ้างแล้วจึงกำหนดที่พัก ได้ที่พักเป็นฐานเที่ยว3 เมืองคือ Munich 4 คืน เพื่อไปเที่ยวในรัฐBavaria และSalzberg ,Hallstattของออสเตรีย  จากนั้นจึงย้ายไปพักที่Frankfurt 3 คืนเพื่อเที่ยวเมืองรอบๆFrankfurt แล้ว จึงเดินทางโดยรถไฟไปParis นอนที่Paris 4 คืนจึงบินกลับไทยจากสนามบิน Charl degol 

        เมื่อได้เมืองที่จะพักแล้วจึงเริ่มหาจองที่พักตามAppการจองต่างๆ ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาพอสมควร ดูทั้งตัวที่พัก ทำเล และราคารวมทั้งเงื่อนไขที่สามารถCancel  ได้เผื่อเปลี่ยนใจหรือกรณีวีซ่าไม่ผ่าน การเลือกที่พักต้องอ่านรีวิวต่างๆจากผู้ที่เคยพักประกอบการตัดสินใจด้วย  ซึ่งมีทั้งโรงแรม   Hostel ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ห้องน้ำรวมสำหรับท่านที่อยากประหยัด  มีบ้านเช่า หรือ Apartmentสำหรับท่านที่ต้องการพักหลายคน หรือต้องการห้องครัวไว้เตรียมอาหาร  ซึ่งในทริปนี้ ที่Munich และFrankfurt ผมได้โรงแรมที่มีอาหารเช้าบริการและอยู่ใกล้สถานีรถไฟ ซึ่งปลอดภัยครับ ส่วนที่Paris ได้ Apartment ที่มีเครื่องทำครัว อยู่โซน 7 ใกล้ๆกับ สถานีMontpranas ห่างไปเพียง1 สถานีMetro และไม่ไกลจากหอไอไฟล  จากนั้นทำการจองโดยใช้บัตรเครดิตซึ่งยังไม่ได้ตัดยอดเงินทันที เพราะเราจองแบบมีเงื่อนไขจะตัดเงินในบัตรเมื่อถึงวันที่กำหนด หากยกเลิกก่อนก็จะไม่ถูกตัดบัตรหรือหักเงิน



       เมื่อได้booking confirmทั้งFlight บิน และที่พักแล้ว เท่ากับว่าเราจะเดินทางแน่ๆเกือบ70 % ละ ต่อมาเราจะต้องขอVisa ซึ่งการขอVisa ต้องมีแผนการเดินทางที่ชัดเจนยื่นต่อเจ้าหน้าที่    จึงได้มาทำแผนการเดินทางตลอดทริปคร่าวๆ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันกลับ ระบุเมืองที่จะพัก และโรงแรมที่พัก แหล่งเที่ยว พาหนะหลักในการเดินทาง ซึ่งผมเดินทาง3 คน ใช้รถไฟเป็นพาหนะหลักครับ 

      ขั้นต่อไปเป็นการจองคิวขอVisa  Shengen  โดยเปิดwebของ VFS(Thailand) ทำการจองขอvisa ของเยอรมัน เพราะผมจะลงเครื่องที่เยอรมันและพักอยู่ที่เยอรมันนานกว่าที่ประเทศอื่น เมื่อกำหนดวัน เวลา ที่เราจะไปยื่นเอกสาร เมื่อทำการจองคิวในระบบแล้วจะได้อีเมล์ตอบรับจากทางVFS ยืนยันกำหนดวันเวลาที่จะไปยื่นเอกสารด้วยตนเองทุกคนที่จามจุรีสแควร์   

        จากนั้นเราก็กรอกใบคำขอVisa online ซึ่งเยอรมันจะต่างกับสวิสที่ผมเคยขอ  ของสวิสซึ่งเราสามารถLoad เอกสารมากรอกเอง หรือกรอกonlineแล้วprint ออกมาได้ แต่ของเยอรมันต้องกรอกonline แต่เพียงอย่างเดียว หากกรอกผิดจะดำเนินการต่อไม่ได้ ซึ่งแต่ละช่องที่กรอกเขาจะมีคำแนะนำให้ ผมใช้เวลากรอกหลายรอบเป็นเวลาเกือบอาทิตย์จนเกือบท้อ กรอกเท่าไรก็ดำเนินการต่อไม่ได้สักที จึงต้องอ่านอย่างละเอียดและกรอกใหัครบทุกรายการ ทั้งต้องอีเมล์ไปโรงแรมที่เราจองไว้ที่เยอรมัน ขอรายละเอียดถึงเลขที่จดทะเบียน สถานที่จดทะเบียนโรงแรม รวมทั้งชื่อผู้จัดการหรือผู้ที่ติดต่อได้และอีเมล์ของโรงแรม

         เมื่อได้แล้ว กรอกทุกอย่างลงไปจนครบทุกช่อง ระบบจึงดำเนินการต่อได้ และจะดำเนินการประมวลใบสมัครของเราเป็นในรูปแบบของสถานทูต(ซึ่งรูปแบบ และการจัดเรียงเนื้อหาไม่เหมือนกับที่เรากรอกonlineเลย) เป็นfile PDF ซึ่งเราต้องprint File นี้ไว้เพื่อนำไปยื่นที่VFS ในวันที่นัดหมาย 

              


   ดังนั้นท่านที่จะขอVisa ของเยอรมันควรเตรียมข้อมูลให้พร้อม และเผื่อวันนัดหมายไว้สำหรับการกรอกคำขอvisaด้วยนะครับ ผมเผื่อเวลากรอกเอกสารคำขอรวมทั้งเตรียมการเอกสารต่างๆไว้3 อาทิตย์ก่อนวันนัดหมายยื่นเอกสาร  ส่วนเอกสารต่างๆประกอบการยื่นคำขอ ในหนังสือตอบรับการจองจะมีรายการออกมาว่าต้องใช้อะไรบ้าง ต้องจัดเตรียมให้พร้อมครับ เมื่อถึงวันนัดหมายทุกคนต้องไปยื่นเอกสารด้วยตนเอง ตามเวลาที่กำหนด เจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารต่างๆ เมื่อครบแล้วต้องมีการScan ลายนิ้วมือ และถ่ายรูปจากcctv ด้วยครับ จากนั้นก็จ่ายค่าธรรมเนียมการจัดทำVisa พร้อมรับหนังสือเพื่อรับpassport คืน ซึ่งจะไปรับด้วยตนเองหรือส่งไปรษณีย์ก็ได้  เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอย่างน้อย15 วันจึงจะได้Passportคืน ซึ่งจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็ต้องแล้วแต่สถานทูตครับ


                  ผมรออยู่ 18 วันก็ได้รับSMS ให้ไปรับpassport คืน ซึ่งก็ผ่านครับ ได้แบบMultiple ระยะ 12 วัน ระบุวันแรกและวันสุดท้ายให้ มีกำหนด 1 เดือนครับ ผมคุยกับเพื่อนบางท่านได้นานกว่านี้ครับ ทั้งนี้คงแล้วแต่เทคนิคการเขียนแผนการเดินทางและรายละเอียดอื่นประกอบครับ ผมได้แค่นี้ก็โล่งใจครับ อย่างน้อยค่าจองตั๋วเครื่องบินก็ไม่สูญเปล่า  จึงเดินหน้าเตรียมการต่อไปครับ




           คราวนี้เตรียมรายละเอียดในการเดินทางแต่ละจุด จะเดินทางอย่างไร ใช้ตั๋วแบบใหนจึงจะเหมาะสม สะดวกและถูกที่สุด โดยผมศึกษาจากWeb และรีวิวต่างๆครับ  ได้ข้อสรุปคือ1. เที่ยวมิวนิค ใช้ Munich day Card ซื้อที่สนามบินมิวนิค 2.  เที่ยวในเขตBavaria ใช้ Bavaria Card ซึ่งมีข้อจำกัดนิดหน่อยที่ต้องใช้ตั้งแต่9.00  น. เป็นต้นไปจนถึงเที่ยงคืน บัตรนี้ซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟมิวนิค และ3. ที่เหลือในเยอรมันอีก 5 วันใช้ German Eurail Pass ซึ่งใช้ได้เฉพาะรถไฟ ซื้อตั๋วOnline จาก Eurail โดยตรง 4.  ส่วนรถไฟจากFrankfurt ไปParis ซื้อตั๋วOnline ซึ่งผมซื้อล่วงหน้าเกือบ2 เดือน ได้ราคาถูกมากแถมได้First Class ด้วย หากซื้อใกล้วันเดินทางราคาแพงมากชั้น2 ยังแพงกว่าFirst Class ที่ผมจองไว้เลยครับ 5.  ที่Paris ใช้ Weekly Navigo Ticket  ซื้อที่สถานีMetro ที่ปารีสครับ 

             สำหรับที่พักที่จองไว้ ก็หมั่นเปิดดู หากเจอที่อื่นที่ถูกใจ หรือที่เดิมราคาถูกกว่าก็ทำการจองใหม่เลยครับ เมื่อไดรับการConfirmแล้วจึงค่อยยกเลิกของเดิม



             เป็นอันว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทางแล้วครับ คงเหลือเพียงเตรียมเสื้อผ้าและกระเป๋าเดินทาง ซึ่งกระเป๋าเดินทางควรเป็นล้อขนาดใหญ่ครับ ถนนบางแห่งปูด้วยหิน ขรุขระ ล้อใหญ่ ลากจะสะดวกกว่าล้อเล็กครับ อนึ่งการเที่ยวเองไม่สะดวกเหมือนกับไปทัวร์ที่เพียงแค่ลากกระเป๋าออกจากสนามบินไปที่รถBusของคณะทัวร์นะครับ  เที่ยวเองต้องมั่นใจว่าเรามีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะลาก และยกกระเป๋าขนาด 20-25 กิโลกรัม ได้เอง ทั้งลากตามทางเท้า ถนน ยกขึ้น- ลงบันได ขึ้น-ลง รถไฟ รถราง รถบัส ไป-กลับ ระหว่างสนามบิน สถานีรถไฟ และที่พัก 

         


         ส่วนเงินนั้นทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย ใช้ยูโร ใช้ได้ทั้งเงินสด บัตรเครดิต Travel Card สำหรับผมแลกเงินสดไปไม่เยอะครับ ส่วนใหญ่จะใช้ Travel Card ซึ่งสะดวกและปลอดภัยครับ ใช้ได้ทั้งร้านเล็กร้านน้อย Taxi  ซื้อตั๋วรถที่ตู้อัตโนมัติ ร้านอาหาร และโรงแรมครับ 

      หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ  เที่ยวเองไม่ยากครับ หากวางแผน เตรียมการดีๆทุกอย่างราบรื่นครับ  ลองดูครับ 



         

        

เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

           Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมือ...