เกาะสีชัง ชลบุรี เป็นเกาะที่อยู่ใกล้ๆกรุงเทพ มีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามรอบเกาะ การไปเที่ยวก็ง่ายสามารถไปเช้า บ่ายหรือเย็น กลับได้ หรือจะนอนพักค้างก็ได้ แต่แปลกที่ไม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยม หากไปชลบุรีก็จะไปบางแสนพัทยา เกาะล้าน ส่วนเกาะสีชังมักจะไม่ถูกจัดอยู่ในโปแกรมท่องเที่ยว ผมเชื่อว่าหลายท่านไปเที่ยวไหนต่อไหนสุดหล้าฟ้าเขียว เที่ยวชลบุรีนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยไปเกาะสีชัง ส่วนตัวผมเอง ไปสีชังครั้งแรกในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อปี 2519 แล้วอีก43 ปีผ่านมาครั้งที่2 เมื่อปี2562 ไปงานสัมมนา และครั้งนี้วันอาทิตย์ (10 พ.ค66)ซึ่งเป็นการไปแบบไม่ตั้งใจไม่อยู่ในโปรแกรมเที่ยวเผอิญมีธุระแถวๆศรีราชา แล้วพอมีเวลาว่างจึงไปเที่ยวสีชัง รู้สึกประทับใจในความสวยงาม และการจัดการการท่องเที่ยวของชาวเกาะสีชัง
วันนี้ผมจึงขอนำเที่ยวเกาะสีชัง ครึ่งวัน แบบสไตล์ไปชม ชื่นชมกับบรรยากาศแหล่งท่องเที่ยว ถ่ายรูปจนพอใจแล้วกลับ ไม่ได้เที่ยวแบบเจาะลึกเก็บรายละเอียดนะครับถ้าแบบนั้นคงต้องใช้เวลาหลายวัน ซึ่งสามารถทำได้เพราะสีชังมีที่พักมากมาย
ขับรถจากกรุงเทพถึงศรีราชาใช้เวลาเพียง 1ชั่วโมง20นาที แล้วมุ่งตรงไปที่เกาะลอยซึ่งมีสะพานคอนกรีตยาวราวๆ500 เมตร เชื่อมเกาะกับชายฝั่งศรีราชา ที่นี่มีจุดชมวิว แหล่งท่องเที่ยวทั้งวัด เก๋งจีน เจ้าแม่กวนอิม และมีสิ่งก่อสร้างใหม่คือสะพานลอยน้ำยาวราวๆ100 เมตร ขนานไปกับสะพานคอนกรีต เป็นจุดพักผ่อนหย่อนใจ ออกกำลังกายตอนเช้าและเย็น ที่เกาะลอยมีท่าเรืออยู่ท้ายเกาะ ไปเกาะสีชัง ต้องขึ้นเรือที่ท่าเกาะลอยนี้ สามารถจอดรถได้ที่จุดจอดรถหรือบนสะพานได้ไม่เสียตังค์ครับ ควรมาเช้าๆถ้าสายหน่อยหาที่จอดยาก ค่าเรือไปเกาะสีชัง คนละ 50บาทซื้อได้ที่ตู้ขายตั๋วที่ท่าเรือ เรือจากศรีราชาไปเกาะสีชังใช้เวลา 45 นาที ออกทุกต้นชั่วโมง เที่ยวแรก 7.00 น.เที่ยวสุดท้าย 18.00 น. ส่วนขากลับออกจากเกาะสีชังเที่ยวแรก6.00เที่ยวสุดท้าย 18.00 น. ใช้เวลาราวๆ45นาทีเช่นกันครับ
นั่งเรือออกจากท่า 7.00 น.เป๊ะครับเรือตรงเวลา(นึกว่าอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์)เรือโดยสารมุ่งตรงไปเกาะสีชัง ฝ่าคลื่นเล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ไม่ถึงกับโคลงเคลง (ถ้าคลื่นลมแรงเรือคงไม่ออกจากฝั่ง ) แล่นผ่านเรือสินค้าลำใหญ่ที่ทอดสมอรอขนส่งสินค้าที่ท่าเรือน้ำลึกที่อยู่กลางทะเล เรือใหญ่บางลำก็มีเรือสินค้าลำเล็กมาเทียบขนสินค้าเข้าฝั่ง
เมื่อเรือแล่นกลางทะเลบางช่วงจะมีนกนางนวลบินตามเรือเป็นระยะๆเพื่อมาหาอาหารที่ผู้โดยสารบรรทุกมาบนดาดฟ้าหัวเรือ ถ้าการท่องเที่ยวโปรโมทให้เรือโดยสารโปรยอาหารให้นกเพื่อให้ฝูงนกนางนวลบินตามเรือจะได้เป็นสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมาสีชังได้ดีทีเดียวครับ ครั้นเรือแล่นใกล้ถึงเกาะสีชัง จะแวะรับส่งผู้โดยสารที่เกาะขามใหญ่ ซึ่งเป็นหมู่บ้านท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ใครสนใจแวะลงเที่ยวก่อนได้ครับ จากเกาะมะขามใหญ่ราวๆ5นาทีก็ถึงท่าเรือเกาะสีชัง
เรือมาถึงท่าเรือเกาะสีชัง7.46 น.ครับท่าเรือจะมีศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ร้านกาแฟชื่อดัง แวะทานได้ครับ
บริเวณสะพานทางเดินเข้าฝั่งจะมีรถจอดเรียงรายเป็นระเบียบ มีแถวมอเตอร์ไซด์ แถวสามล้อเครื่องหรือสกายแล๊ป และแถวจอดรถสองแถว แต่ละแถวจะมีป้ายบอกราคาชัดเจน ที่นี่เขาจัดระบบการบริการท่องเที่ยวดี มั่นใจได้ว่าไม่ถูกเอาเปรียบแน่ครับ ถ้ามากันหลายคนเลือกใช้บริการรถสองแถวเลยครับประหยัดดีช่วยกันแชร์ค่าใช้จ่าย เขาจัดโปรแกรมให้หลายโปรแกรมตามจำนวนแหล่งท่องเที่ยว อาทิ โปรแกรมเที่ยว4 จุด 500 บาท 5 จุด800 บาทหรือเหมาเที่ยวทั้งวัน 1,500 บาท ใครสนใจขับมอเตอร์ไซด์เองก็เช่าได้ครับทั้งรายชั่วโมง เหมาทั้งวันหรือเหมาค้างคืนได้ครับ ถ้าเหมาทั้งวัน250 บาท แต่ผมไม่ถนัดและไม่อยากเสี่ยงขี่เอง ไม่ชินเส้นทางทั้งมีทางขึ้นเขาลงเขา
มากัน2 คนจึงตัดสินใจเลือกนั่งสกายแล๊ปซึ่งนั่งได้2 แถวหันหน้าเข้าหากันแถวละ2 คน ซึ่งมีโปรแกรม3 โปรแกรมคือ เที่ยว 4 จุด 6 จุดและเหมาทั้งวันราคา 300 บาท 500 บาทและ1,000 บาทตามลำดับ ผมเลือกแบบเที่ยว 6 จุดซึ่งจะแวะทานข้าว หรือดื่มกาแฟชิลชิลได้ ครับ
ขึ้นนั่งแล้วบอกคนขับว่าไปส่งทานข้าวเช้าก่อนนะ โชเฟอร์จึงขับพาไปย่านตลาดกลางเมือง แวะส่งเราแล้วบอกว่าทานเสร็จให้โทรหาจะมารับพร้อมยื่นนามบัตรให้ ที่นี่จะได้ชมบ้านเรือน ร้านค้า และวิถีชีวิตชาวท้องถิ่นที่มาจับจ่ายซื้อของ ทานอาหารเช้ากัน ใครสนใจปูม้าสดๆก็จะมีชาวบ้านนำมาใส่กะลามังวางขาย
ราคาอาหารร้านท้องถิ่นไม่แพงครับ เราทานก๋วยจั๊บคนละชามๆละ50 บาท และซื้อน้ำ ขนมที่ร้านขายของชำติดมือไปทานระหว่างท่องเที่ยว ทานเสร็จโทรศัพท์เรียกรถมารับ แป๊ปเดียวก็มา รถพาเราไปท่องเที่ยวจุดแรกที่ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่
สถานที่เที่ยวบนเกาะสีชังทุกแห่งไม่เสียค่าเข้าชมครับ แต่ละแห่งมีการพัฒนารองรับการท่องเที่ยว ถนนหนทางสะดวกพาหนะเข้าถึงจุดท่องเที่ยว สถานที่ท่องเที่ยวมีการพัฒนา มีทางเดิน จุดพักผ่อน จุดชมวิว มีสิ่งอำนวยความสะดวก บางจุดมีร้านค้า ร้านอาหาร มีบริการห้องสุขา เป็นระเบียบ ที่ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ก็เช่นกัน ตั้งอยู่บนเนินเขา
มีรถรางคันเล็กที่ใช้รอกสลิงชักขึ้นลง ไว้บริการนักท่องเที่ยวให้ขึ้นไปสักการะศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ศาลเจ้าพ่อเห้งเจีย พระสังกัจจาย ที่นี่จะเห็นวิวเมืองด้านท่าเรือของเกาะสีชังได้ชัดเจน
ส่วนท่านใดจะสักการะบูชาเจ้าแม่กวนอิมก็เดินลงมาทางด้านล่งของศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ใกล้ๆรถรางคันสีแดง ที่นี่ค่อนข้างจะมีกล่องทำบุญ กล่องรับบริจาคเยอะสักหน่อย รวมทั้งจุดซื้อสิ่งของเซ่นไหว้
สักการะเจ้าพ่อเขาใหญ่เสร็จ สารถีสกายแล๊ปก็ขี่รถขึ้นเขาพาเราไปชมรอยพระพุทธบาทโบราณที่นำมาจากพุทธคะยา ประเทศอินเดีย ซึ่งประดิษฐานอยู่บนยอดเขาสูงที่สุดของเกาะสีชัง ที่สมเด็จ ร.5 พระราชทานนามว่า “ยอดพระจุลจอมเกล้า” ที่นี่มีต้นไม้ร่มรื่น มองเห็นทิวทัศน์ทะเลโดยรอบ สักการะรอยพระพุทธบาท พร้อมจะเสียงสวดมนต์บารมี10 ทิศ ตีระฆังให้ดังกังวาลบนยอดเขา แล้วเดินลงมานั่งสามล้อไปเที่ยวต่อ สารถีดีครับ ไม่มีรีบเร่งปล่อยให้เราเที่ยวแต่ละแห่งตามพอใจ
จุดต่อไปเป็นจุดที่ห้ามพลาดคือ ช่องเขาขาดหรือช่องอิศริยาภรณ์ ที่เป็นช่องเขาที่ขาดออกจากกัน เป็นจุดชมวิวที่เห็นทะเลสีฟ้าใสสวยงาม เห็นหน้าผาที่สวยงาม ชมคลื่นที่กระทบกับโขดหิน มีจุดพักผ่อนนั่งเล่นชมทิวทัศน์ท่ามกลางสายลมที่เย็นสบาย ด้านบนจะมีโจรสลัดตัวใหญ่ส่องกล้องมองไปในทะเลถือเป็นจุดเช๊คอินที่ไม่ควรพลาด เดินเล่นบนสะพานสีขาวๆชื่อสะพานวชิราวุธที่ทอดยาวไปตามโขดหิน ที่เขาขาดนี้เป็นจุดชมวิวพระอาทิตย์ตก ลับขอบฟ้า ที่สวยงามที่สุดบนเกาะสีชัง หากท่านใดมาพักค้างแรมอย่าพลาดมาชมช่วงเย็นนะครับ
จากนั้นสารถีพาเราเข้าชมพิพิธภัณฑ์จุฑาธุชราชฐาน ซึ่งเคยเป็นพระราชวังที่ประทับแปรพระราชฐานของสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งอยู่ริมทะเล (ปัจจุบันไม่มีแล้ว ถูกรื้อไปในช่วงฝรั่งเศสบุกเกาะสีชัง รศ.112 ) มีจุดเด่นคือสะพานอัษฏางค์ที่สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าให้สร้างขึ้นด้วยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นสะพานและศาลาสีขาวที่ทอดยาวลงไปในทะเล ตรงนี้เป็นจุดเช็คอินถ่ายรูปที่สวยงามมาก ละครหลายเรื่องก็ได้มาถ่ายทำที่นี่ พอดีฝนเทกระหน่ำลงมาจึงได้ใช้ศาลาเป็นที่พักหลบฝน จนฝนซาจึงเดินตามถนนที่ปูด้วยหิน ชมคร่าวๆบริเวณพิพิธภัณฑ์ ซึ่งมีสนามหญ้ากว้างใหญ่ เดินชมฐานพระที่นั่งธาตุรัตนโรจน์ ซึ่งถูกรื้อไปสร้างเป็นพระที่นั่งวิมานเมฆในพระราชวังดุสิต ชมเรือนไม้ริมทะเล ส่วนเรือนวัฒนาซึ่งใช้เป็นที่จัดนิทรรศการ ไม่ได้เข้าชม เดินไปสักการะพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 ที่อยู่ในพลับพลาสีขาวเล็กๆบนเนิน ฝนเริ่มเทลงมาอีกรอบ จึงรีบเดินทางไปเที่ยวจุดต่อไป
ถ้ำทะลุ Talu Cave ถ้ำนี้ถือว่าเป็นUnseenของเกาะสีชังเลยครับถือเป็นจุดแลนด์มาร์คใหม่ของเกาะสีชัง อยู่บนแหลมถ้ำพัง ซึ่งเป็นเนินโขดหินลาดยื่นไปในทะเล เดินลงไปทางซ้ายมือราวๆ10 เมตร จะเห็นเป็นถ้ำที่มีช่องใหญ่ทะลุถึงกัน และทะลุไปถึงทะเล แต่ทางลงต้องข้ามหินไต่ลงไปเลยไม่ได้ลงเพราะพื้นเปียกจากฝนตกก่อนหน้ากลัวลื่นตกลงไป เลยถ่ายรูปอยู่ด้านบน ขอบอกว่าที่นี่ฟินมากๆ ไม่ควรพลาดครับ ส่วนด้านบนเนินโขดหินวิวสวยงาม ชมคลื่นซัดกับโขดหินหน้าผา แตกกระเซ็นน่าดูชมครับ
จุดท่องเที่ยวต่อไป บอกสารถีว่าขอเป็นจุดสุดท้ายเพราะอยากไปให้ทันเรือเที่ยวเที่ยงวัน สารถีสกายแล๊ปจึงพาเราไปเที่ยวอ่าวอัษฎางค์ หรือหาดถ้ำพัง มีอ่าวโค้ง หาดทรายสีขาว เป็นหาดเดียวที่เล่นน้ำได้ รวมทั้งเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกอีกจุดหนึ่งที่สวยงามไม่แพ้กัน ที่มีโรงแรมที่พัก ร้านค้าขายของที่ระลึก มีร้านอาหาร มีเตียงผ้าใบให้นั่งทานและชมหาดเหมือนหาดทั่วไป หาดนี้นักท่องเที่ยวฝรั่งเยอะ นิยมมาพัก มาเล่นน้ำ ส่วนใครที่ไม่พักมาเล่นน้ำที่นี่มีบริการห้องอาบน้ำ ต้องเสียเงินใช้บริการครับ หาดนี้ครึกครื้นครับ ช่วงกลางวันนักท่องเที่ยวทั้งชายหญิงเดินเล่นกันขวักไขว่ ทั้งว่ายน้ำทั้งนั่งทานอาหาร นอนเล่นบนเตียงผ้าใบใต้ร่มสีสดใส มาเที่ยวสีชังได้บรรยากาศบางแสนด้วยคุ้มค่าครับ
สกายแล๊ปพาเรามาส่งที่ท่าเรือ ก่อนถึงจุดจอด เห็นปูม้าดิ้นกระแด่วๆอยู่ในตระกร้าที่ชาวบ้านนำมาขาย เลยขอลงก่อนแวะอุดหนุนปูม้าสด 1 กิโลได้ 4 ตัว ราคา 450 บาทใส่ถุงพลาสติกหิ้วไป ค่อยเอาไปใส่ลังโฟมที่รถซึ่งจอดที่เกาะลอย ศรีราชา
ซื้อปูเสร็จเดินไปจุดขายตั๋ว ขึ้นเรือ โชคดีวันนี้วันอาทิตย์มีผู้โดยสารเยอะจึงมีเรือเสริม ก่อนตารางจริงคือเที่ยวเที่ยงตรง แต่ลำนี้ ออก11.40 น. เราไปถึง11.30 น. คนเกือบเต็มเรือแล้ว จากการสังเกตุส่วนใหญ่ผู้โดยสารเป็นนักท่องเที่ยวที่นอนพักค้างที่เกาะเดินทางกลับ เรือออกกลางทะเล บ่ายนี้คลื่นแรงหน่อยเรือรู้สึกโคลงเคลงตามแรงคลื่นปะทะ ทำให้ผู้โดยสารหลายคนมีอาการเมาคลื่น ส่วนผมไม่เมาครับแถมงีบหลับอีกด้วย พอเรือเข้าใกล้ศรีราชาทะเลดูสงบลงมีคลื่นเล็กๆเรือวิ่งฉิว จนถึงท่าเรือเที่ยงยี่สิบห้านาที ขับรถกลับ กทม. ได้สบาย ถึงกทม.ก่อนเวลารถติดอีกด้วย ใช้เวลาครึ่งวันเช้าเที่ยวเกาะสีชังได้หลายจุด น่าท่องเที่ยว สะดวก ปลอดภัยครับ ลองไปสัมผัสดูสักครั้งซิครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น