พานั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง Yellow Line ของ MRT EBM

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0


   รถไฟสายสีเหลือง น้องเก๊กฮวยเพิ่งเปิดใช้ตลอดเส้นทาง 23 สถานีระยะทาง34 กิโลเมตร  ในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบเมื่อกลางมิถุนายนที่ผ่านมา วันนี้มีโอกาสได้ไปใช้บริการจากต้นทางสถานีลาดพร้าว ถึงสถานีปลายทางที่สำโรง จึงขอนำมาเล่าสู่กันครับพอสังเขปครับ

     สถานีต้นทาง สถานีลาดพร้าว ตั้งอยู่ติดกับอาคารจอดแล้วจรของMRT ตรงหัวมุมสี่แยกที่ตัดกันระหว่างถนนรัชดาภิเษกกับถนนลาดพร้าว ครับ 


       การเดินทางไปสถานีลาดพร้าว ค่อนข้างไม่สะดวกสบายนักครับ  หากมาจากBTS สายสีเขียวต้องลงที่สถานีห้าแยกลาดพร้าว ตรงเซ็นทรัลลาดพร้าวนั่นแหละครับ จากนั้นต้องเดินบนสกายวอล์คลงไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน MRT สถานีพหลโยธินที่ห่างไปราว 60  เมตร จากสถานีMRTนี้ นั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน ที่ชานชาลามุ่งหน้าห้วยขวาง นั่งไปเพียงสถานีเดียว ลงที่สถานีลาดพร้าว


   จากนั้นจึงเดินออกไปยังอาคารจอดแล้วจรของMRT เดินตามทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆจนไปถึงทางขึ้นบันไดเลื่อนไปสถานีสายสีเหลืองที่อยู่สูงข้างบน บางช่วงก็มีลิฟท์ไว้บริการครับ ช่วงจากห้างเซ็นทรัลถึงสถานีลาดพร้าว เดินเยอะหน่อยทั้งรอและนั่งรถไฟใต้ดิน ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงครับ  แต่หากท่านใดนำรถยนต์ส่วนตัวมา ให้นำมาจอดที่อาคารจอดแล้วจรซึ่งคิดค่าบริการจอด จากนั้นเดินตามทางเชื่อมไปสถานีสายสีเหลืองได้เลยครับ


       
บริเวณสถานีจะมีเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติอยู่ 3 ตู้ และมีห้องจำหน่ายบัตรโดยสารที่มีพนักงานจำหน่าย ผมจึงเดินไปที่ห้องจำหน่ายพร้อมยื่นบัตรเบ่ง บัตรประชาชนครับ  สูงวัย60 ขวบขึ้นไปได้ลดราคา ค่าตั๋วจากสถานีลาดพร้าวถึง สถานีสำโรง 23 บาท จากราคาเต็ม 45 บาท 



  นอกจากนี้หากใครมีบัตรเครดิต EMV ทีมีสัญญลัษณ์wifi สามารถนำมาใช้ชำระค่าโดยสารได้ครับ


ได้บัตรโดยสารพลาสติกแล้วสอดบัตรผ่านเข้าไปข้างในแล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้นจึงจะถึงชานชาลาครับ
 บริเวณชานชาลามีกระจกกั้นขอบรางรถไฟไว้ตลอดชานชาลาครับ ประตูจะเปิดเมื่อรถไฟมาเท่านั้นครับ ไม่ต้องกลัวหล่นลงไป ที่ชานชาลาวันนี้เป็นวันอาคารราว10 โมงมี ผู้โดยสารราว10 คนครับ ผมเดินไปยืนรอตรงด้านซ้ายสุดตรงประตูแรกเลยครับเพื่อรอขึ้นตู้หน้าสุดของขบวนซึ่งมีอยู่ 4 ตู้ 




      เมื่อรถจอดเทียบชานชาลา ประตูเปิดให้เข้า พบตู้โดยสารค่อนข้างกว้างมีที่ยืนเป็นส่วนใหญ่ มีเก้าอี้นั่งสีเหลืองข้างละตัวทั้งสองฝั่งและด้านหลังของตู้  ส่วนด้านหน้าหัวรถติดกับกระจกหน้าบานใหญ่เป็นคอนโซลขนาดใหญ่มีที่นั่ง2 ที่ หน้ารถไม่มีแผงควบคุมหรือพนักงานขับรถ มีเพียงเจ้าหน้าที่ยืนกำกับอยู่คอยแก้ไขสถานการณ์หากเกิดเหตุฉุกเฉิน   รถไฟสายสีเหลืองเป็นรถไฟที่ไม่มีคนขับ ควบคุมการขับเคลื่อน เปิด-ปิดประตูรถจากศูนย์ควบคุม   รถไฟสายนี้เป็นรถMono Rail คือ รถเคลื่อนที่บนรางเดียว เหมือนที่เคยเห็นในสวนสนุก



  ยืนมองตรงคอนโซลด้านหน้ารถจะเห็นรางรถไฟเป็นรางปูนกว้างราวๆ1ฟุต  รางขนานกันไประยะห่างพอควรเพื่อรถวิ่งสวนกันคนละราง  

     ขบวนรถแล่นไปตามรางปูนลอยฟ้า ความเร็วซึ่งผมประมาณเองว่าราวๆ50-60กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะแล่นไม่ราบเรียบนัก มีความสั่นสะเทือนขึ้นลง พอควร  ราวๆกับนั่งรถที่โชคอัพแข็งๆบนผิวจราจรที่พื้นผิวขรุขระ ต่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือรถไฟสายอื่นๆที่ไม่มีการสั่นสะเทือนแบบนี้  ไม่ทราบว่าสาเหตุจากราง หรือล้อยางที่แข็งเกินไป หรือจากระบบของตัวรถเอง  แต่รถสายสีเหลืองมีเสียงดังเบากว่านิดหน่อยและไม่มีเสียงล้อรถบดสีกับรางรถไฟ รถสายนี้วิ่งไปอยู่เหนือถนนลาดพร้าวจนถึงบางกะปิ แล้วเลี้ยวไปทางลำสาลี ไปทางศรีกรีฑา เรื่อยไปทางหัวหมาก ที่สถานีหัวหมากเป็นสถานีเชื่อมต่อรถไฟสายแอร์พอร์ตลิงก์ได้ แต่ดูแล้วแต่ละสถานีทั้งสองอยู่สูงและมีระยะทางห่างจากจุดตัดของเส้นทางทั้ง2สาย ราว100 เมตรไม่มีSkywalkเชื่อม ไม่แน่ใจว่าพื้นล่างมีทางเชื่อมโดยเฉพาะหรือไม่ หากไม่มีถ้าลากกระเป๋าใบใหญ่ไปมาระหว่างสถานีนี้คงทุลักทุเลน่าดูคงได้เปลี่ยนล้อกระเป๋าหรือไม่ก็เปลี่ยนคนลากกระเป๋าเป็นแน่ 



สถานีแอร์พอร์ตลิงค์หัวหมาก

 จากสถานีหัวหมากรถไฟจะมุ่งหน้าไปทางศรีนครินทร์ ผ่านซีคอนแสควร์ ที่สถานีสวนหลวง .9 สถานีอยู่ห่างจากสวนหลวงพอควร กลางวันแดดร้อนหากไปคงต้องนั่งมอไซด์  ส่วนผมแวะลงสถานีสวนหลวง .9 (ใช้เวลาจากลาดพร้าวถึงสถานีนี้ 40 นาที)



แล้วไป
ทานก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดสดในห้างพาราไดซ์ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุง ช่วงนี้มีพ่อค้าพนักงานมากกว่าลูกค้า 


 
จากนั้นเดินกลับมาที่สถานีสวนหลวงร. 9 ซื้อตั๋วใหม่ เพื่อนั่งต่อไปยังปลายทางที่สถานีสำโรง

ช่วงก่อนเที่ยงผู้โดยสารก็ยังเบาบางเช่นเดิม 
 รถไฟแล่นผ่านไปยังสถานีศรีอุดม  ผ่านสถานีศรีเอี่ยมที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดหนักบริเวณนี้  แล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปยังสถานีศรีลาซาลซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศไทยซึ่งสูง 24.4 เมตร ที่ยกระดับข้ามแยกศรีลาซาลที่มีถนนยกระดับข้ามแยก   จากนั้นลดระดับสู่ระดับปกติไปยังสถานีศรีอีกศรี คือ ศรีแบริ่ง ศรีด่าน ศรีเทพา แล้วถึงสถานีทิพวัล  ไปสิ้นสุดที่สถานีสำโรง  รถไฟสายสีเหลืองมีสถานีที่ขึ้นด้วยศรี รวม  สถานีจากทั้งหมด 23 สถานี 

       ระยะเวลาเดินทาง หากรวมระยะเวลาจากสถานีต้นทางที่ลาดพร้าวจนถึงสถานีสำโรง จะใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมง5 นาที  รถแล่นไม่เร็วนักเฉลี่ยแล้วสถานีละนาที 23 สถานีก็เกินชั่วโมงแล้วครับ ไม่นับรวมบางสถานีที่ต้องหยุดนานหน่อยเพื่อบริการผู้ใช้รถเข็นที่พนักงานต้องนำแผ่นเหล็กมาพาดเชื่อมรถกับชานชาลา แล้วเข็นรถเข้าหรือออกเรียบร้อยแล้ว จึงวิทยุแจ้งให้สถานีควบคุมปิดประตูรถ  จาก  การสังเกตุรถไฟสายสีเหลืองในช่วงกลางวันผู้โดยสารยังเบาบางครับแต่ละสถานีมีคนขึ้นลงสิบกว่าคน ส่วนเช้า-เย็น คงมีผู้โดยสารใช้เยอะกว่านี้ครับ 


            สถานีสำโรง เป็นสถานีที่บรรจบกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว มีสกายวอล์กเชื่อมต่อกันระยะทางราว50 เมตรสามารถต่อรถไฟฟ้าบีทีเอสที่สถานีสำโรง ไปทางสมุทรปราการหรือเข้าเมืองไปทางอโศก  สยาม อนุสาวรีย์ ต่อไปจนถึง สะพานใหม่ คูคตได้ครับ










  ผมนั่งรถไฟสายสีเขียวจากสถานีสำโรง เข้าเมืองไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิใช้เวลาเพียง30 นาทีก็ถึง ช่วงเที่ยงกว่าๆผู้โดยสารเต็มทุกตู้ครับผู้มาใช้บริการเยอะทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้โดยสารชาวไทย   รถแล่นเร็วและราบเรียบ และมีเสียงล้อรถบดรางดังเอี๊ยดๆได้บรรยากาศรถไฟฟ้าบีทีเอส  อนึ่ง บีทีเอสไม่ลดค่าโดยสารให้ผู้สูงอายุนะครับ จำหน่ายตั๋วเต็มราคา ราคาสูงพอควรครับ จากสำโรงถึงอนุสาวรีย์ 63 บาท ส่วนสายสีเหลืองนั่งข้ามฟากฝั่งของกทม.จากต้นทางถึงปลายทางค่าโดยสาร45 บาท ผู้สูงวัยลดเหลือ 23 บาท



           โดยรวมแล้วรถไฟสายสีเหลืองน่าใช้บริการครับ รถสะอาด กว้างขวาง แอร์เย็นสบาย เสียงไม่ดัง ถึงแม้ว่าจะนั่งไม่สบาย โยกเยกบ้าง สั่นบ้าง แต่ก็ช่วยร่นระยะเวลาเดินทางได้มากในแต่ละช่วงสถานีที่รถแล่นผ่านช่วงสั้นๆ และช่วยได้มากทีเดียวหากต้องนั่งรถผ่านย่านที่มีรถติด จากคนละฟากของกรุงเทพจากลาดพร้าวสู่สำโรงคงใช้เวลากว่า3ชั่วโมง ซึ่งถ้าขับรถผ่านแยกลำสาลี หรือย่านวัดศรีเอี่ยม จุดละเกือบชั่วโมงแล้วครับ  นอกจากนี้หากมีเวลาท่านอาจแวะเที่ยวแวะช้อปปิ้ง ตามบริเวณใกล้เคียงสถานีต่างๆ อาทิ สวนหลวงร.9 ซีคอนแสควร์ หรือชมทิวทัศน์ของกรุงเทพ2ข้างทางที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านก็สวยงามน่าดูชมครับ 






  
เชิญมาใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองครับ อีกไม่นานรถไฟฟ้าMonorail สายสีชมพูจะเปิดทดลองให้บริการ ผมจะไปทดลองใช้บริการแล้วนำมาบอกเล่าต่อนะครับ สวัสดีครับ




       

  

เที่ยวจอร์เจียกับทัวร์ Ep.1 Georgia เที่ยว ยุโรป ราคาเอเชีย

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0

       


 เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2565 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวจอร์เจีย จึงขอนำสิ่งที่พบเห็นมาเขียนเล่าสู่กันอ่านเพลินๆครับ ทริปนี้ผมไปกับบริษัททัวร์ กำหนดโปรแกรมเที่ยว 6 วัน 4 คืน 

          สาธารณรัฐจอร์เจียเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย อยู่ทางตอนใต้ของประเทศรัสเซียโดยมีเทือกเขาคอเคซัสกั้นกลาง ด้านทิศตะวันตกติดกับทะเลดำ ตะวันออกติดอัลเมเนียและอาเซอร์ไบจัน ส่วนด้านทิศใต้ติดกับประเทศตุรเกีย จอร์เจียเดิมเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียต  จอร์เจียเป็นประเทศเล็กๆมีประชากรเพียง3.7 ล้านคน มีเมืองหลวงชื่อ ทบีลิซี (Tbilisi) เที่ยวจอร์เจียจะได้บรรยากาศกลิ่นอายของยุโรป ทั้งผู้คนที่มีหน้าตา รูปร่างสูงใหญ่แบบชาวยุโรป อาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป รวมทั้งความสวยงามของภูมิประเทศ ที่มีภูเขาสูง ป่าไม้ แม่น้ำ คล้ายๆกับสวิตเซอร์แลนด์ และสภาพอากาศที่มีทั้งฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ จอร์เจียจึงเป็นเสมือนยุโรปในเอเชีย ค่าครองชีพที่จอร์เจียต่ำกว่ายุโรปทั่วๆไป หากเทียบกับสวิตเซอร์แลนด์แล้วที่จอร์เจียจะต่ำมากๆ  อาทิ ค่าโรงแรมที่จอร์เจียเป็นหลักพันบาทต่อคืน ระดับพันกว่าบาทถึงสามพันกว่าบาท  หรือหากไปกับทัวร์ราคาก็ราวๆ1 ใน3 ของทริปยุโรปครับ   นอกจากนี้คนไทยเข้าประเทศจอร์เจียได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า อยู่ได้นาน 365 วัน ไม่ต้องลุ้นวีซ่าเหมือนยุโรป น่าไปเที่ยวครับ

             


 

วันแรกของโปรแกรมทัวร์คือวันที่นัดเจอที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจอกับทุ่ม เพื่อขึ้นเครื่องตีหนึ่งครึ่ง  แอร์เอเชียไฟล์นี้เป็นเครื่องบินเช่าเหมาลำ เป็นเครื่องแอร์บัสลำใหญ่ จุผู้โดยสารได้300 กว่าคน  ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยจากบริษัทนำเที่ยวหลายๆบริษัทด้วยกัน  บนเครื่องมีบริการอาหาร 2 มื้อครับ บินตรงจากสุวรรณภูมิถึง กรุง Tabilisi เมืองหลวงจอร์เจีย ใช้เวลาบินราวๆ10 ชั่วโมง 

                เช้าหลังจากถูกปลุกให้ตื่นเพื่อเสริฟอาหารเช้า มองจากหน้าต่างเครื่องบิน ด้านล่างเห็นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งกั้นยุโรปกับเอเชีย  บนยอดเขาส่วนใหญ่จะปกคลุมด้วยหิมะ เริ่มได้บรรยากาศแบบยุโรปแล้ว  เมื่อบินใกล้ถึงจอร์เจียท้องฟ้าปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ พอจะถึงที่หมายเครื่องบินลดเพดานบินฝ่ากลุ่มเมฆลงสู่สนามบินกรุงTbilisi อย่างปลอดภัย ที่สนามบินท้องฟ้าขมุกขมัวมีหมอกจางๆ สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่มากนักราวๆสนามบินแม่ฟ้าหลวง ขั้นตอนการเข้าเมืองไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆเพียงแค่ยื่นพาสปอร์ต  เจ้าหน้าที่ไม่ซักถามอะไร ประทับตราก็ผ่านได้ แต่เนื่องจากคนเยอะใช้เวลาราว30 นาทีจึงผ่านต.ม ลงไปที่สายพานรับกระเป๋าซึ่งมี 2  สายพาน คนเยอะมากรอนานพอสวมควรกว่าจะได้กระเป๋า  บริเวณนี้ มีร้านแลกเงินและร้านแจกซิมการ์ดหลายร้าน  เรานำดอลล่าร์ไปแลกเงินของจอร์เจียติดไม้ติดมือไปเผื่อใช้ซื้อของเล็กๆน้อยๆ อัตราแลกเปลี่ยน 1 USD เท่ากับ 2.59Gel  หากคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 14 บาท ต่อ 1Gelหรือ ลารี ส่วนซิมการ์ดไม่ได้ซื้อ เพราะมีโรมมิ่งจากเมืองไทย ที่จุดรับกระเป๋ามีห้องน้ำเล็กๆ ห้อง ต้องรีบเข้าทำธุระให้เสร็จ  ระหว่างรับกระเป๋าพบว่ามีคณะทัวร์จากไทยหลายคณะทีเดียว แต่ละคณะ ไกด์จะนำลูกทัวร์มารวมกลุ่มกัน  เมื่อคณะเราพร้อมไกด์ทั้งชาวไทยและจอร์เจียก็จะเดินนำเราออกจากสนามบิน ผ่านฉลุยไม่มีตรวจค้นสัมภาระ ครับ ออกจากสนามบินไม่ต้องมีลุ้นว่าจะมีใครมารับไหม รถที่เช่าไว้จะมาไหม จะถูกโกงไหม หากขับเองก็ต้องลุ้นอีกหลายเรื่อง   ไปกับทัวร์ตามไกด์ไปสบายใจ


                      เวลาที่จอร์เจียช้ากว่าบ้านเรา 3 ชั่วโมง ออกจากสนามบินโมงพอดี  สัมผัสกับอากาศหนาวราวๆ 8 องศาเซลเซียส ชื่นใจครับไม่ได้สัมผัสความหนาวเย็นมานานละ เดินตามไกด์ไปขึ้นรถบัสขนาด 50 ที่นั่ง รวมที่นั่งแถวยาวท้ายรถด้วย รถไม่มีห้องน้ำนะครับ แต่มีบริการWifi และมีที่เสียบชาร์ทแบตเตอร์รี่ทุกแถวที่นั่งครับ สบายใจหายห่วงเรื่องแบตหมดและเรื่องInternet


คงมีเพียงเรื่องห้องน้ำครับ ผมสูงวัยแล้วฉี่บ่อย ซึ่งที่จอร์เจียไม่มีห้องน้ำตามปั้มน้ำมันแบบบ้านเราครับ ส่วนสถานที่เที่ยวบางแห่งก็ไม่มี บางแห่งก็มีแต่เสียค่าเข้าครั้งละ 2 Gel ก็ราว 28 บาท ห้องน้ำบางแห่งก็ไม่ค่อยสะอาดนัก สิ่งที่ต้องระวังอย่างหนึ่งก็คือ มักจะมีกลุ่มมิจฉาชีพที่ช่วงชิงวิ่งราวนักท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ต้องระวังกระเป๋าตลอดเวลาครับ   แต่โดยรวมแล้วน่าเที่ยวครับ อากาศช่วงเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิอยู่ในช่วง 4 - 14 องศา กำลังดีครับไม่หนาวจนเกินไป Ep.หน้าจะมาเล่าต่อถึงการเที่ยววันแรกที่จอร์เจียซึ่งไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ


            

เที่ยวVietnam กับทัวร์ Ep.8 สะพานมือยักษ์ Golden Bridge เด่นสุดในBanaHills

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0


                     เมื่อไปเที่ยวBana Hills สิ่งที่พลาดไม่ได้คือ การไปเดินชมสะพานมือหรือ Golden Bridge ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของBana Hills เลยก็ว่าได้ สะพานนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวขึ้นมาBana Hills ที่มีจุดเด่นคือตอม่อสะพานเป็นมือยักษ์ที่รองรับตัวสะพานโค้งไว้ เป็นหนึ่งในสิบของสะพานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่สุดในโลก สะพานนี้มีสีทอง ทั้งตัวสะพานและราวสะพานที่เป็นลูกกรง  ตัวสะพานเป็นเหล็กกว้าง 5 เมตร มีความยาว 150 เมตร โค้งยื่นออกจากหน้าผาตรงจุดสถานีCable Car เชื่อมต่อกับหน้าผาตรงสวนดอกไม้ ซึ่งจงใจสร้างมาเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะ ใช้งบก่อสร้างประมาณ2,000ล้านดอลล่าร์สหรัฐ เปิดให้เข้าชมเมื่อปีพ. 2561 นี่เอง


          จากการที่สะพานเป็นจุดหมายที่สำคัญที่พลาดไม่ได้คณะทัวร์ของเรา ไกด์จึงนัดหมายนำลูกทัวร์เที่ยวเป็นแห่งแรกบนBana Hills หลังจากนำกระเป๋าเก็บที่พักแล้ว จึงนัดหมายกันที่บริเวณจัตุรัส ตรงวงเวียนน้ำพุเวลาบ่าย2โมง

        เมื่อลูกทัวร์ทุกคนมารวมกันตรงน้ำพุครบทุกคนแล้ว ไกด์นำเราเดินไปอาคารรูปโดมหลายๆโดมซึ่งอีกด้านหนึ่งของจัตุรัส พาไปขึ้นกระเช้าลอยฟ้าเพื่อไปชมสะพานมือ ที่สถานีกระเช้าคนเยอะมากต้องรอคิวขึ้นกระเช้าราว15 นาทีกระเช้านั่งได้ 6 คน จากนั้นกระเช้าพาเราข้ามหุบเขาไปยังอาคารอีกฟากหนึ่ง  ราว5นาทีก็ถึงสถานีปลายทาง เดินลงไปยังสะพาน อากาศเย็นสบาย มีเมฆหมอกลอยมาปะทะตัวปกคลุมสะพาน ช่วงนี้คนเยอะมาก เดินกันเต็มสะพาน  มุมถ่ายรูปมุมต่างๆคนเยอะ ถ่ายรูปเดี่ยวแต่ได้รูปหมู่ จึงต้องล่าถอย รอมาใหม่ใน ตอนเย็นซึ่งคนที่มาเที่ยวแบบเช้าไปเย็นกลับ ลงเขาไปแล้ว สะพานจะโล่ง ไกด์จึงให้แต่ละคนไปเที่ยวได้ตามใจชอบแล้วค่อยกลับมาเจอกันใหม่ที่สะพานในตอนเย็น



        ดังนั้น เราจึงนั่งกระเช้ากลับไปที่จัตุรัส  แล้วเดินไปเข้าคิวเล่นรถเหาะลอยฟ้า Alphy Coaster คิวยาวมากต้องใช้เวลากว่า 50 นาทีถึงได้คิวเล่น เครื่องเล่นนี้นั่งได้คนหรือจะนั่งคนเดียวก็ได้ แต่เราเลือกนั่งคน  มีเข็มขัดนิรภัยรัดลำตัวและเท้า ป้องกันเราหลุดจากตัวรถ  เมื่อนั่งแล้วรถจะเลื่อนไถลไปตามราง ส่วนจะช้าหรือเร็ว เราต้องบังคับเองด้วยคันโยก  แต่ช้ามากไม่ได้นะครับ รถคันหลังจะชนเอา เครื่องเล่นนี้จะมีกฎกำหนดให้ขี่ห่างจากคันหน้าไม่น้อยกว่า25 เมตร ระหว่างทางจะมีจุดถ่ายรูปอัตโนมัติให้เราแอคท่าถ่ายรูปด้วย 


  
เมื่อรถแล่นเลี้ยวโค้งลงทางลาดชันมากๆสุดเสียวจริงๆ ขอบอก   เสียดายที่ไม่กล้าใช้โทรศัพท์ถ่ายวีดีโอไว้ เพราะมือขวาต้องจับคันโยกบังคับความเร็ว จะใช้มือซ้ายก็กลัวทำโทรศัพท์หล่นลงไปข้างล่าง (ท่านใดที่มีโอกาสไปอย่าลืมติดกล้องที่ห้อยคอหรือกล้องติดหมวกไปถ่ายด้วยนะครับแต่เมื่อไกล้ถึงจุดหมายรถเคลื่อนช้าขึ้นทางลาดชันสูงผมได้ใช้มือถือถ่ายVDO ตอนรถเคลื่อนที่ไว้  เมื่อถึงจุดหมายจะมีจุดให้เราซื้อรูปที่ถ่ายไว้หากพอใจในราคารูปละ 80,000 VND ผมจึงได้ภาพนั่งรถเหาะมาเป็นที่ระลึก1ใบครับ

            หลังจากเล่นรถเหาะเราได้ไปนั่งรถรางไปชมปราสาทจันทรา Luna Castle ที่เพิ่งเปิดให้ชมเมื่อปี2565นี่เองเป็นปราสาท4ชั้นมีจุดให้ชม อาทิ ถ้ำมังกร หมาป่าจอมพลัง จัตุรัสพระจันทร์ และโรงหนังFlying Eyes Theatre ให้ชมเราชมกันเพลินแล้วนั่งรถรางกลับที่เดิม แล้วไปต่อคิวขึ้นกระเช้าไปสะพานมือ พอไปถึงราวสี่โมงกว่าๆพบว่าผู้คนเบาบางมากเพราะนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นั่งกระเช้ากลับลงไปข้างล่างแล้ว บ้างก็ต่อคิวแถวยาวเพื่อรอขึ้นกระเช้าลงไปข้างล่าง  ที่สะพานมือจึงค่อนข่างโล่งผู้คนเบาบาง บนสะพานสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามมากทั้งเมฆ ภูเขาที่เขียวชะอุ่ม สวยงามมาก มุมถ่ายรูปบนสะพานสวยทุกมุมเลยครับ 



อีกฟากหนึ่งของสะพาน เดินตรงไปเป็นทางเดินไปสวนดอกไม้แห่งความรัก(Le Jardin D’Amour)ด้านซ้ายมีถนนเป็นทางเดินลงไปชมวิวด้านล่างของสะพานได้  ตรงจุดสามารถเดินไปใกล้และถ่ายรูปกับมือที่เป็นตอม่อของสะพาน และมองขึ้นไปจะเห็นสะพานอีกมุมหนึ่งสวยงามมาก

    จากสะพานมือเราเดินเล่นต่อไปที่สวนดอกไม้ จนได้เวลาแล้วจึงย้อนกลับขึ้นสะพานแล้วนั่งกระเช้าลอยฟ้ากลับไปยังจัตุรัส มุ่งหน้าไปทานอาหารมื้อค่ำที่โรงแรม

    รุ่งเช้าตื่นขึ้นมารีบไปที่สะพานมือ เพื่อสัมผัสกับบรรยากาศในตอนเช้าครับ สะพานมือในช่วงเช้าแทบไร้ผู้คนครับ  มีหมอกบางๆเข้ากับอากาศเย็นสบายในตอนเช้า เราจึงยึดครองสะพานถ่ายรูปในมุมที่สวยงามในทุกมุมเลยทีเดียว ฟินมากๆครับ

          

        



     

  




     

         

ดูนักกีฬาตบกันในวอลเลย์บอล Women VNL 2023 at Hua Mark Indoor Stadium, Bangkok

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0




          วันนี้มีโอกาสไปชมวอลเลย์บอลล์รายการใหญ่ Women VNL 2023 สนามที่ไทยเป็นเจ้าภาพมีนักวอลลเลย์บอลหญิงระดับโลกรวมไทยด้วยแข่งกัน 8 ทีม ที่สนามIndoor Stadium หัวหมาก กทม รายการแบบนี้พลาดไม่ได้ต้องไปดู สนามอินดอร์นี้สวยงามมากครับถึงแม้จะสร้างมานานแล้วแต่มีการปรับปรุงดูแลรักษาอย่างดีทั้งสภาพสนามทั้งระบบแสง สี เสียง ทำให้สนามยังดูดี สวยงาม ทันสมัยไม่แพ้สนามที่ชาติอื่นจัดวอลเลย์บอลรายการนี้ 


           ผมมาสนามนี้ด้วยรถยนต์ส่วนตัว จอดยากสักหน่อยครับสนามนี้ที่จอดไม่มีจัดเฉพาะ ต้องจอดลานหน้าสนามบ้าง ริมถนนภายในการกีฬาแห่งประเทศไทย และที่จอดรถไต้ถุนสนามกีฬาราชมังคลา ผมโชคดีหน่อยขับรถเข้าประตูการกีฬา เหลือบเห็นรถเบ้นซ์คันงามเคลื่อนออกจากที่จอดรถฝั่งทางออกพอดี เลยหันหัวรถไปเสียบแทนเลย จอดตรงนี้จะเดินไกลหน่อย แต่จากที่ได้รับทราบมาว่าผู้ที่จอดรถที่ไต้ถุนสนามราชมังคลาตอนเลิกกว่าจะออกรถได้ใช้เวลาเกือบชั่วโมง ดังนั้นผมจึงเลือกจอดใกล้ประตูทางออก   ส่วนท่านใดมารถประจำทางก็มาได้ทุกสายที่ผ่านหน้ารามคำแหงครับเพราะสนามนี้อยู่ติดกับมหาวิทยาลัย  


           ที่หน้าสนามอินดอร์ จะมีซุ้มหรือรถเข็น ขายอาหารประมาณ6-7 ร้านทั้งไส้กรอก บาบีคิว พิซซา เลือกทานได้ครับราคาไม่แพง นอกจากนี้ยังมีซุ้มของผู้จัดที่จัดทำกิจกรรมเกมส์ชิงรางวัล บริการเพ้นท์หน้าสีธงชาติต่างๆตามใจผู้ชม  ถ่ายรูปกับนักวอลลเลยบอลชาวไทย ขายเสื้อกีฬาของทีมชาติต่างๆราคาตัวละ699บาท มีผู้คนสนใจซื้อหาไปใส่เชียร์ทีมโปรดกันคับคั่ง  นอกจากนี้ยังมีแผงลอย คนเดินเร่ ขายธงชาติ ที่ติดผมสีธงชาติต่างๆ ขายสติกเกอร์ ให้ท่านได้เลือกซื้อครับ รวมทั้งยังมีคนเดินเร่ขายและรับซื้อตั๋ว




          วันนี้ช่วงค่ำผู้ชมเยอะมากเพราะเป็นแมทซ์ที่ทีมชาติไทยแข่งกับทีมชาติตุรกีเวลา2ทุ่มครึ่ง  เป็นนัดล้างตาของตุรกีที่แพ้ไทยมาคราวชิงแชมป์โลกเมื่อปีที่แล้ว ผู้คนรอคิวกันเต็มอยู่หน้าประตูทางเข้าตั้งแต่หกโมงครึ่ง ใครหิวก็ต้องซื้ออาหารไปทานในคิวระหว่างรอ ไม่มีเวลาไปนั่งกินที่ร้านที่อยู่นอกสนามกีฬา หรือที่ตลาดนัดที่ปิดถนนหน้าทางเข้าสนาม  เพราะหากมาต่อคิวคงอยู่ท้ายแถวเป็นแน่  ทุ่มเศษๆผู้ชมต่อคิวยาวแถวยาววนเวียนเป็นเขาวงกฏ วันนี้ประตูเปิดช้าเพราะคู่ก่อนหน้าแข่งจกันยาว5 set เลยเลิกช้า กว่าประตูจะเปิดก็ปาเข้าไปทุ่มพอดี

  อ้อ ที่สนามเขาห้ามนำสิ่งของต่างๆเข้าไปนะครับ  อาทิ ประเภทกล้องถ่ายรูป กล้องถ่ายวีดีโอ Tablet กระป๋องเครื่องดื่มต่างๆ น้ำดื่มเข้าได้แต่ต้องแกะฉลากแบรนด์ออก ขนมก็ห้ามนำเข้านะครับ เข้าตอนเข้างานจะมีคนตรวจกระเป๋าใครมีขนมก็วางไว้บนโต๊ะออกจากงานมาเอาคืนได้ถ้ายังอยู่  ใครมีTablet ก็มีที่ฝากครับ เมื่อผ่านด่านแรกแล้ว ด่านที่ก่อนเข้าสนามจะตรวจตั๋วเพื่อเช็คที่นั่งและประทับตรายางที่หลังมือด้วยครับ สามารถเข้าออกไปห้องน้ำได้ครับ

          ที่สนาม ผู้คนล้นหลาม สนามบ้านเรามีผู้ชมเยอะในทุกๆแมทซ์การแช่งขัน ต่างจากสนามที่เกาหลีซึ่งจัดพร้อมกันส่วนใหญ่ผู้ชมน้อย แทบจะน้อยกว่านักกีฬาและทีมงานด้วยซ้ำ ยกเว้นแมทซ์ที่เจ้าภาพลงแข่งขัน  สนามอินดอร์สเตเดียมจุคนได้กว่า 6,000คน วันนี้เต็มสนามครับ แถมมีขายบัตรเสริมตรงใกล้ขอบสนามแข่งอีกด้วย  บรรยากาศในสนามนับว่าอลังการมากเราได้เห็นบรรยากาศขณะนักกีฬาเข้าสนามทำการยืดเหยียด กล้ามเนื้อ วอร์มอัพร่างกาย  การเล่นไฟสีสรรสวยงามส่องสนาม เสียงของเครื่องเสียงที่ดังกระหึ่ม บวกกับเสียงของกองเชียร์ บรรยากาศเหมือนกับชมคอนเสิร์ต ทั้งในช่วงเริ่มแข่งขันที่ผู้ชมในสนามร่วมในการเปิดไฟฉายจากมือถือส่ายไปมา ทั้งเสียงเพลงจากดีเจสนามที่เปิดในช่วงการแข่งขัน   การมีส่วนร่วมของผู้ชมในการโบกมือ เล่นwave กลิ้งลูกบอลลูกโตๆที่อัฒจรรย์ ช่วงพักเบรค รวมทั้งเสียงกึกก้องจากผู้ชมที่ส่งเสียงเฮระหว่างการตบโต้กันของนักตบระหว่างการแข่งขัน






 และเสียงเฮเสียงกรี๊ดดีใจเมื่อได้คะแนน   ทำให้บรรยากาศในสนามครึกครื้น สนุกสนาน ต่างกับที่เรานั่งดูหน้าจอทีวีที่บ้านที่มีทั้งเสียงพากษ์ การตัดเข้าโมษณาระหว่างพัก ลองมาดูชมที่สนามครับ ยังเหลืออีกหลายนัดครับโอกาสดีๆมีไม่บ่อยครับ


     วันนี้ผลการแข่งขันไทยแพ้ตุรเกียตามคาดครับ สู้ไม่ได้เราต้องพัฒนาอีกเยอะทั้งสไตล์ รูปแบบการเล่นที่ต้องเอาชนะผู้ที่ตัวสูงใหญ่กว่า   การแก้เกมส์ของโค้ช และความแข็งแกร่ง ความเก่ง ไหวพริบของนักตบครับ


     

เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

           Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมือ...