เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

          


Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมืองนี้เป็นหลัก นักท่องเที่ยวต่างหลั่งใหลมาตามรอย ในตัวเมืองจึงมีบริษัทนำเที่ยวหลายแห่งขายทัวร์เพื่อตามรอยหนังดัง  และชมความสวยงามของSalzburg เป็นเมืองมรดกโลก  การมาเมืองนี้ เดินทางมาง่ายครับ มีสนามบินขนาดใหญ่ หรือมาทางรถยนต์ รถไฟ   ถ้าจากMunich ประเทศเยอรมันนั่งรถไฟเพียง2ชั่วโมงเท่านั้น 




         การพาเที่ยวSalzburgในวันนี้ ต่อการเดินทางมาจากHalstatt ที่เล่ามาในตอนที่แล้ว เราไม่ได้ตามรอยหนังดังทั้งหมดครับ เพราะมีเวลาเพียง 4 ชั่วโมงเท่านั้น คงพาเที่ยวได้ไม่ทั่วถึง 

        เรามาถึงSalzburg บ่าย2โมง หิวข้าวแล้วและอยากเดินเที่ยวSalzburg ก่อนกลับMunichในตอนเย็น จึงฝากกระเป๋าที่ล๊อคเกอร์ในสถานีรถไฟ ซึ่งอยู่บริเวณหน้าห้องน้ำ ล๊อคเกอร์ที่นี่ใช้แต่เหรียญเท่านั้น  จึงต้องเดินกลับไปร้านค้าซื้อของเพื่อเอาเหรียญเงินทอนมาหยอดตู้  ฝากกระเป๋า ไม่ยากครับเขามีภาพอธิบายขั้นตอนไว้เสร็จสรรพ ทั้งการฝากและการเปิดล๊อดเกอร์   เสร็จแล้วก็เข้าห้องน้ำ อ้อ ห้องน้ำที่นี่เสียตังค์นะครับค่าเข้าคนละ0.5 ยูโร  




      Salzburg เป็นเมืองใหญ่ เที่ยวสะดวกเพราะมีทั้งรถบัส รถราง แล่นผ่านสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ นักท่องเที่ยวนิยมใช้ Salzburg Card Day Ticket ครับ แต่วันนี้เราไม่ได้ซื้อSalzburg Card ครับเพราะมีเวลาน้อย ประกอบกับที่เที่ยวบนภูเขาหลายแห่งปิด ไม่คุ้ม จึงเดินเที่ยวเท่าที่เวลาจะอำนวย โดยมุ่งหน้าไปMirabell Palace ก่อน ซึ่งอยู่ไม่ไกลเดินราว15 นาที ออกจากสถานีรถไฟ เดินไปทางด้านซ้ายจนถึงแยกแล้วเลี้ยวซ้ายลอดสะพานรถไฟไป สักพักก็ถึงตึกพระราชวังครับ

พระราชวัง Mirabell

 แต่เราเดินไปทางสวนสาธารณะข้างวังก่อน  มุ่งหน้าไปที่แม่น้ำ Salzach แล้วข้ามสะพาน  เดินลัดเลาะไปหาทานข้าวร้านอาหารชื่อดังของเมืองSalzburg  อยู่ใกล้ๆกับโบสถ์ Kapuzinerkirche ร้านนี้หากไม่สังเกตจะไม่คิดว่าเป็นร้านอาหาร เปิดประตูเข้าไปข้างในข้างในเป็นห้องอาหารขนาดกระทัดรัด สวยงามน่านั่งมาก  ร้านนี้ปกติต้องจอง แต่เรามาถึงก็ราวบ่าย3 แล้วจึงโชคดีมีที่ว่าง  สั่งขาหมู ปลาทอด ซุปไส้กรอกหมู พร้อมเบียร์ท้องถิ่น อร่อยมากครับ แต่ราคาก็สูงตามความอร่อยครับและความดังของร้าน 


ห้องอาหารท้องถิ่น


     เมื่อท้องอิ่ม มีแรงเดินเที่ยวจึงเดินข้ามถนนไปโบสถ์Kapuzinerkirche ที่อยู่บนเนินใกล้ๆ โบสถ์นี้ไม่ใหญ่โตนักแต่รูปทรงและสีสรรสวยงามสะดุดตา บนเนินสามารถเห็นทิวทัศน์ของเมืองSalzburg ที่มีแม่น้ำSalzach ไหลผ่านมองเห็นปราสาทHohensalzburg Fortress อยู่ไม่ไกลนัก การชมวิวSalzburg ที่จุดนี้จึงเป็นจุดหนึ่งที่ไม่ควรพลาด

     



     

สะพานข้ามแม่น้ำSalzach อยู่ใกล้ๆกับMirabell Palace

Salzach River

    

เพลิดเพลินกับบรรยากาศมุมสูงได้สักพัก จึงเดินกลับทางเดิมข้ามถนนแล้วลัดเลาะไปข้ามสะพานมุ่งหน้าสูMirabell Palace เดินชมสวนที่เป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์The Sound of Music จะเห็นน้ำพุPigus Status Fountain ที่เป็นม้ามีปีก และสวนสวยที่มีต้นไม้เปลี่ยนสี แดง เหลือง ส้ม สวยงามมาก 

   

สวนภายในพระราชวังMirabell

Pigus Satatus Fountain



สวนในMirabell Palace

สวนดอกไม้ภายในพระราชวังMirabll

เดินชมจนเกือบมืดเลยต้องรีบเดินกลับไปขึ้นรถไฟที่สถานีSalzburg เพื่อกลับMunich  การตามรอยหนังดังทำได้เพียงนิดหน่อยไว้กลับมาตามรอยฉบับเต็มในโอกาสต่อไปครับ การเที่ยวSalzburg อย่างน้อยต้องเต็มวันครับจึงจะครอบคลุมแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ รวมทั้งการล่องเรือชมแม่น้ำSalzach


 

สถานีรถไฟSalzburg

              เมือถึงสถานี Salzburg เรารีบไปเอาสัมภาระที่เก็บไว้ในLocker เอาใบเสร็จไปScanที่ตู้หยอดเหรียญ แล้วตู้เก็บของช่องที่เราใส่ก็เด้งเปิดออกทันทีครับ จากนั้นไปหาขบวนรถไปMunich ได้ขบวนรถด่วนครับ ใกล้ออกพอดี รีบขึ้นไปหาที่นั่งว่างที่ไม่มีจอง ขบวนนี้ผู้โดยสารค่อนข้างเยอะครับ นั่งเสร็จก็เปิดApp Rail Planner หาขบวนนี้ เมื่อเจอแล้ว Add ลงไปในMy Ticket เป็นอันเรียบร้อย รอนายตรวจมาค่อยเปิดShow my Ticket ให้เขาตรวจได้เลยครับ  เรานั่งไปหลับไปใข้เวลาราว2 ชั่วโมงจึงถึงสถานีMunich ประมาณ 2 ทุ่ม ตอนนี้เราคุ้นเคยกับMunichแล้ว หิ้วกระเป๋าเดินข้ามถนนไปที่โรงแรมเดิม ซึ่งเราฝากกระเป๋าไว้แล้ว นอนที่นี่อีกหนึ่งคืน พรุ่งนี้จะเดินทางต่อไปยังFrankfurt โปรดติดตามตอนต่อไปครับ



เที่ยวHallstatt ประเทศออสเตรีย ดินแดนในฝัน

 



Hallstatt see ยามเช้า


        เมืองHallstatt เมืองมรดกโลกของAustria ดินแดนแห่งความฝันของหลายคนที่อยากมาเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต ถึงแม้ได้มาแล้วก็อยากมาเยือนอีก เมืองนี้นับว่าเป็นเมืองที่สวยที่สุดของออสเตรียเลยก็ว่าได้ และเป็นเมืองที่ห่างไกลการเดินทางไม่สะดวกนัก ต้องผ่านถนนที่คดเคี้ยว หรือนั่งรถไฟ รถบัสหลายต่อทั้งต้องนั่งเรือข้ามทะเลสาบไปอีกจึงจะถึงจุดหมาย

        


         ตอนที่แล้วเล่าถึงรายละเอียดการเดินทางจากMunich สู่Hallstat ด้วยรถไฟ ต่อรถบัส รถไฟ และนั่งเรือFerry ข้ามทะเลสาบขึ้นฝั่งที่หมู่บ้านHallstatt ตอนนี้จะไปดื่มด่ำกับบรรยากาศของHallstatt ทั้งตอนบ่าย และตอนเช้าตรู่ที่อุหภูมิติดลบ ในLocation ระดับความสูงตั้งแต่ริมทะเลสาบจนถึงยอดเขาครับ

            




          เรือFerry นำผู้โดยสารกว่า30คนเข้าสู่ฝั่งหมู่บ้าน เมื่อเรือเทียบท่า ตรงใกล้ๆกับโบสถ์Evangelisch Pfarrkirche ที่เป็นLanmarkของเมืองนี้   นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ต่างพากันเดินไปยังถนนลาดยางด้านขวาของหมู่บ้านขึ้นเนินเลียบทะเลสาบไปราว150 เมตรที่จุดถ่ายรูปวิวมหาชนที่ถือเป็นsignatureของHallstatt 

         


          
        จุดนี้มีความยาวราวๆ20 เมตร นักท่องเที่ยวเยอะ บ้างส่งเสียงดัง ซึ่งจะเป็นแบบนี้ตลอดวันจนทำให้ชาวบ้านที่อยู่แถบบนั้นต้องขึ้นป้ายขอความร่วมมือห้ามส่งเสียงดังรบกวน 
       



        ช่วงที่เรามาดูมุมนี้ก็เช่นกัน นักท่องเที่ยวต่างชิงมุมถ่ายรูป จึงทำให้ไม่เพลิดเพลินเท่าที่ควร ประกอบกับมุมนี้ต้องถ่ายรูปย้อนแสง จึงทำให้ภาพถ่ายออกมาไม่ได้ดังใจ



             

       




  โชคดีที่เราวางแผนนอนพักค้างที่นี่ ดังนั้นไว้พรุ่งนี้เช้าตรู่ต้องมาเก็บบรรยากาศและถ่ายภาพให้ได้ใกล้เคียงกับภาพในโปสการ์ด
Hallstatt see ยามบ่าย

        

    จากนั้นเดินไปขึ้นชมทะเลสาบในมุมอื่น ชมบ้านเรือนบนเนินเขา  มีแมวเหมียวนางแบบมาโพสต์ท่าให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายภาพ

      





      เดินไต่บันไดขึ้นไปบริเวณโบสถ์คาโทลิค Pfarrkirche จุดนี้จะได้เห็นวิวทะเลสาบ ภูเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและเงาที่ทอดสะท้อนในทะเลสาบ ประกอบกับภาพมุมสูงของหมู่บ้าน  พร้อมกับภาพโบสถ์Evangelische Pfarrkirche  โบสถ์โบราณหลังเล็กๆกลางหมู่บ้าน ที่เป็นLanmark สำคัญของHallstatt ถือเป็นสัญลักษณ์ของHallstattเลยทีเดียวซึ่งผู้ที่มาHallstattถ้าไม่มีรูปนี้ติดกล้องถือว่าไม่ได้มาHallstatt ทัศนียภาพของHallstattที่มีองค์ประกอบครบแบบนี้จึงสวยงามสุดบรรยายเลยทีเดียว

     



      



          รอบๆโบสถ์มีสุสานโบราณ เล็กๆ รูปร่างแปลกตา สวยงาม  เดินชมโบสถ์และเข้านมัสการพระเยซู ข้างในโบสถ์     

         


สุสานโบราณ

          จากโบสถ์ สามารถเดินทะลุไปลานจอดรถยนต์ที่ถนนหน้าอุโมงค์ที่ทะลุผ่านทางด้านบนหมู่บ้าน ลานนี้ จะมีน้ำตกสูง ไหลลงมาแรง สวยงามมาก ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อนว่าที่นี่จะมีน้ำตก  และจากมุมนี้สามารถชมทัศนียภาพของทะเลสาบจากมุมนี้ซึ่งสวยงามไปอีกแบบหนึ่ง

          



           จากลานจอดรถยนต์ เดินไต่บันไดลงมา ชมในหมู่บ้าน ซึ่งมีบ้านเรือนสีสรรที่สวยงามหน้าดูชม มีร้านอาหาร คาเฟ่ และร้านขายของที่ระลึกต่างๆมากมายให้เลือกชมเลือกซื้อ เดินชมเพลินจนเกือบบ่าย4  แต่ร้านอาหารมีไม่กี่ร้านแต่ละร้านต้องรอคิวยาว จึงไปซื้อของที่Supermarket ท้ายหมู่บ้านซื้อไส้กรอกและหมูไปทำกับข้าวที่ที่พัก

        

บ้านเรือนตรงจัตุรัสกลางหมู่บ้าน




จัตุรัสกลางหมู่บ้าน

          วันนี้นอนพักที่นี่ จองที่พักบ้านที่ดัดแปลงเป็นอพาร์ทเม้นท์ขนาด3ชั้นแถวๆท้ายหมู่บ้านติดภูเขา และลำธาร บรรยากาศดีมากๆ

          

อพาร์ตเมนต์ที่พัก

ลำธารริมที่พัก

           เราได้อยู่ชั้น2 ซึ่งมีห้องนอน2 ห้อง ห้องสุขาซึ่งแยกจากห้องน้ำ ห้องครัวพร้อมเครื่องครัว ครบครัน พร้มโต๊ะอาหาร ห้องนั่งเล่น พักได้ถึง6 คน ราคา 220 ยูโรต่อคืน บวกภาษีอีกคนละ3 ยูโร/คืน ที่พักที่Hallstatt ค่อนข้างแพง ถ้าที่พักแถวๆริมทะเลสาบราคา300 ยูโรขึ้นไป 

          การเข้าที่พัก ใช้วิธีติดต่อทางmessage. เพื่อส่งcode กล่องเก็บกุญแจไขเอากุญแจไปเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เอง  ขากลับเช็คเอ้าท์ ก็เช่นกันเก็บกุญแจใส่Box พร้อมจ่ายค่าภาษีใส่ซอง 9 ยูโร หย่อนลงตู้จดหมาย เป็นอันเสร็จ

            



วิวภูเขามองจากที่พัก

           ทำอาหาร หุงข้าวที่นำมาจากเมืองไทย ทานกันเสร็จราว5 โมงเย็นมืดพอดี ข้างนอกอากาศหนาวมาก เลยพักผ่อน ดูทีวี (การท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว มืดเร็ว ทำให้มีเวลาเที่ยวน้อยกว่าฤดูอื่นที่สว่างจนถึงสามสี่ทุ่ม) เปิดฮีทเตอร์ทำให้ห้องอุ่นนอนหลับสบาย

         รุ่งเช้าตั้งใจจะออกไปดูทะเลสาบตอน6 โมงเช้าที่ชาวบ้านบอกว่าช่วงนี้จะมีหมอกปกคลุมสวยงามมาก แต่พอเราตื่นขึ้นมา6 โมงเช้าข้างนอกฟ้ายังไม่ค่อยสว่างและหนาวมากๆ รอจนหกโมงครึ่งจึงยอมฝ่าความหนาวเย็นที่อุหภูมิลบ1 องศาเซลเซียส ลัดเลาะหมู่บ้านออกไปทะเลสาบ ที่ทะเลสาบยังไม่มีชาวบ้านหรือนักท่องเที่ยวรายอื่นตื่นขึ้นมาเลยครับ 

          


    เรายึดทะเลสาบไว้แล้ว จุดชมวิวต่างๆเป็นของเรา จึงได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศ และเลือกมุมถ่ายรูปได้สมกับความตั้งใจ ภาพหมู่บ้าน และทะเลสาบยามนี้เงียบสงบ น้ำสีคราม ฟ้าสีฟ้าสดใส สวยงามมาก ทั้งได้ชมธรรมชาติที่มีฝูงหงส์แหวกว่ายน้ำที่ใสแจ๋วเย็นยะเยือก ได้บรรยากาศยามเช้าที่แสนโรแมนติก















มุมถ่ายทางฝั่งซ้ายของหมู่บ้าน



    

       เดินชมบรรยากาศทะเลสาบ หมู่บ้าน สายน้ำลำธาร  ยามเช้าแล้วจึงกลับที่พัก ทำโจ๊กหมูทานกับกาแฟขนมปัง แล้วเก็บของออกจากที่พัก จากนั้นเดินไปสถานี  Funicular Top Hallstatt ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับที่พัก เป็นสถานีรถรางขนาดใหญ่ พาขึ้นยอดเขา เพื่อชมเหมืองเกลือ และสะพานลอยฟ้าจุดชมวิวมรดกโลกของunesco เราซื้อตั๋วแบบReturn Ticket 3 คนราคารวมภาษีแล้ว 66 ยูโร





        ตอนเช้านักท่องเที่ยวยังน้อยจึงไม่ต้องรอนาน หากสายกว่านี้ หรือเป็นฤดูท่องเที่ยวแล้วจะต้องรอนับชั่วโมงทีเดียว เราขึ้นไปชมทิวทัศน์Hallstatt บนยอดเขา ตรงสะพานลอยฟ้าหรือ Skywalk เห็นทะเลสาบและหมู่บ้านในมุมสูง สวยสุดบรรยายสมกับเป็นจุดชมวิวมรดกโลกจริงๆ นับว่าโชคดีที่ได้ขึ้นมาชม หากไม่ได้พักค้างคงอดชมความสวยงามนี้เป็นแน่










             ชมวิวมุมสูงบนskywalk แล้วนั่งFunicular ลงมา (หากใครมีเวลาจะเดินลงก็ได้)ที่สถานีจะมีของที่ระลึกเกี่ยวกับเหมืองเกลือขาย เดินชมสักพักจึงเตรียมเดินทางกลับ

            


  เราเที่ยวเพลินจนเลยเวลาเรือที่จะออกในเวลา 11โมง เพื่อไปต่อรถไฟเวลา11.31 น หากรอเที่ยวต่อไปเรือจะออกประมาณบ่าย 2  เลยต้องเปลี่ยนใจนั่งรถบัส ซึ่งจะออก11.37 น.   มีป้ายจอดรถบัส อยู่ที่ลานจอดรถตรงข้ามกับSupermarket ท้ายหมู่บ้าน 






            เป็นรถBus สาย543 รถมาตรงเวลามาก พอมาถึงรีบขึ้นและ ซื้อตั๋วที่คนขับได้เลยไปSalzbergคนละ 15 ยูโร  รถพาเราลอดอุโมงค์ยาวครึ่งกิโลเมตร 2 อุโมงค์ เล่นเลียบทะเลสาบ ไปอีก2ป้าย แล้วให้เราลงจากรถ จากนั้นรถบัสสาย 542 ก็มารับช่วงต่อเพื่อไปยัง Bad  Ischi  ในรถมีheater อุ่นไปตลอดทาง แถมมีที่ชาร์จแบตเตอรี่ด้วย


           จากนั้นรถบัสพาเรามุ่งหน้าไปยังBad Ischi ราวๆครึ่งชั่วโมงก็มาถึง เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่พอสมควร มีตึกรามบ้านเมืองสมัยใหม่ มีแม่น้ำสายใหญ่ใสสะอาดพาดผ่านกลางเมือง  รถบัสไปจอดที่terminal ข้างสถานีรถไฟBad Ischi 

          



            สักพักก็มีรถบัสสาย150 มาจอดรับ มุ่งหน้าสู่Salzburgตามเส้นทางที่เราเคยมาเมื่อวาน ซึ่งเป็นเส้นทางที่มีความสวยงามของทัศนียภาพสองข้างทางสายหนึ่งของออสเตรีย จนราวๆบ่าย2 จึงถึงที่จอดรถบัส หน้าสถานีรถไฟ Salzburg







เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

           Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมือ...