เที่ยวเยอรมันด้วยตนเอง: จากMunich ไปเที่ยวเมืองมรดกโลก Hallstatt ประเทศออสเตรีย

      


 ทริปเที่ยวเยอรมันด้วยตนเองครั้งนี้ใช้เวลาอยู่ในเยอรมันนี 7 วัน พาหนะการเดินทางหลักที่ใช้คือรถไฟ  จากที่ได้เล่าไปแล้วในตอนก่อนๆ วันแรกเที่ยวในเมืองMunich เราใช้ Munich Card day ticket วันที่2 ไปเที่ยวประสาทNueschwanstein ใช้ Bayern Ticket ส่วนอีก 5 วันที่เหลือ ใช้German rail pass แบบต่อเนื่อง 5 วัน โดยซื้อOnlineจากeurail ไว้ก่อนแล้ว ราคาคนละ 210 US$ ซึ่งตั๋วนี้สามารถขึ้นรถไฟในเยอรมันได้ได้แทบทุกขบวน รวมไปถึงSalzburg ประเทศออสเตรียด้วย

        




       8 พ.ย 66 ซึ่งเป็นวันที่3 ของการเดินทางมาเที่ยวเยอรมัน ซึ่งเรามีแผนจะไปเที่ยวHallstatt ประเทศออสเตรีย  นอนค้างหนึ่งคืนแล้วค่อยกลับมาที่มิวนิค การไปHallstatt นั้นต้องนั่งรถไฟเยอรมันจากMunichไปถึงSalzburgประเทศออสเตรีย    จากนั้นจึงนั่งรถไฟหรือรถบัสของออสเตรีย ต่อไปยังHallstatt  การไปSalzburg นั้นหากใช้Bayern Ticket ก็สามารถใช้ได้ แต่เนื่องจากมีข้อจำกัด ว่าต้องใช้ตั้งแต่9 โมงเป็นต้นไป และต้องเป็นรถไฟ Local หรือ Regional เท่านั้น      แต่เราอยากออกจากมิวนิคเช้าตรู่เพื่อที่จะเดินทางไปถึงHallstattเร็วขึ้น มีเวลาเที่ยวนานๆ จึงเลือกใช้ German Rail Pass ซึ่งจะใช้จากMunich ขาไปและขากลับจากSalzburg และใช้ที่เยอรมันในอีก3 วันที่เหลือ 

       


     หลังจากทานข้าวเช้าเสร็จ เช็คเอ้าท์จากโรงแรม ฝากกระเป๋าใบใหญ่ไว้ เพราะจะนอนค้างที่Hallstatt  1 คืน วันพรุ่งนี้ตอนค่ำจะกลับมาพักที่เดิม สะพายเป้เดินไปสถานีรถไฟที่อยู่ใกล้ๆ ไปดูที่บอร์ดหารถไฟปลายทางSalzburg พบว่ามีขบวนRE 5 จะออกเวลา08.43 จอดที่ชานชาลา 5 จึงรีบไปขึ้นรถตรงตู้ชั้น2 เลือกหาที่นั่งที่ไม่มีคนจองโดยดูจากพนักพิงเบาะนั่ง เมื่อนั่งและจัดสัมภาระเสร็จแล้วจึงมาจัดการตั๋วดิจิตัล ในมือถือ โดยเปิดแอป rail planer ซึ่งเราซื้อตั๋วมา แล้วคนหาขบวนรถไฟไปSalzburg เมื่อได้ขบวนที่ตรงกับเราต้องการคือขบวนRE79011เช่นเดียวกับRE5 (ที่มอร์นิเตอร์ในรถไฟก็มีเขียนRE79011) แล้วก็ addลงไปในmy trip และ addลงไปในpass ของเรา เป็นอันเสร็จขั้นตอน พอเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋วเราก็กดshow my ticket ปรากฎเป็นQR Code ให้ จนท ตรวจตั๋วได้

ภาพหน้าจอApp rail Planer


       รถไฟขบวนนี้ หน้าต่างกว้างแต่ไม่ถึงขั้นpanorama ทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ข้างทางได้กว้าง เพลิดเพลินกับทิวทัศน์ที่สวยงามทั้งภูเขา ทุ่งหญ้า ป่าไม้ สลับกับเล่นมือถือ รถไฟมีWifi ทำให้เราประหยัดWifiจากSimของเรารวมทั้งมีที่ชาร์จแบต  รถใช้เวลา 2 ชั่วโมงก็ถึงสถานี Salzburg HBF ของออสเตรีย สถานีนี้กว้างใหญ่และใหม่ ทันสมัยกว่าสถานีมิวนิคของเยอรมันครับ อนึ่งรถไฟระหว่างประเทศในยุโรปไม่มีพิธีการตรวจคนเข้าเมืองครับ คล้ายกับเรานั่งรถไฟจาก กทม.ไปต่างจังหวัดนั่นแหละครับ และเราก็ไม่ต้องกังวลเพราะมีVisa Shengen 

สถานีรถไฟSalzburg


      การเดินทางโดยรถไฟของออสเตรีย จะใช้App OBB ซึ่งเป็นApp ของการรถไฟออสเตรีย หาตารางการเดินรถและค่าโดยสารครับ การเดินทางจากSalzburg ไปHallstatt สามารถดูได้จากApp ดังกล่าว และซื้อตั๋วได้ที่สถานีรถไฟหรือจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัติที่สถานีรถไฟได้ครับ    

      





       ซื้อตั๋วที่ตู้สีส้มของOBB ซึ่งหาไม่ยากครับอยู่กลางสถานีเลย  ซื้อไม่ยากครับเริ่มจากเปลี่ยนภาษาเป็นภาษาอังกฤษ แล้วก็ทำไปตามขั้นตอน ค้นหาปลายทางไปHallstatt พบว่าจะมีรถบัสสาย150 เที่ยว11.15 น. ออกจากSalzburg แล้ว ต่อรถไฟREX ที่   Bad Ischi HBF     ไปลง สถานีหยุดรถHallstatt. ราคาคนละ 15 ยูโร  เมื่อได้ขบวนรถตามเวลาที่ต้องการแล้วm กดเลือกผู้โดยสาร 3 คน ตอบ Confirm พร้อมสอดTravel Card จ่ายตังค์ ได้ตั๋วมา 3 ใบ ง่ายครับ 

ถ่ายจากหน้าจอที่ตู้ซื้อตั๋วโดยสารไปHallstatt


        อนึ่งการไปHallstatt จากเมืองSalzburg หรือขากลับนั้น ไปได้ทั้งรถบัสและรถไฟ ครับ  ซึ่งจากตารางการเดินรถแต่ละช่วงเวลารถที่วิ่งจะต่างกันครับ บางเวลา เป็นรถไฟ แล้วต่อรถไฟ บางเวลาไปรถไฟต่อรถบัส หรือไปรถบัสต่อรถไฟ หรือรถบัสตลอดเส้นทางแต่เปลี่ยนรถหลายต่อครับ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบใหนแต่ละช่วงที่มีการเปลี่ยนรถจะมีการเชื่อมต่อกันอย่างดีครับ

      



ตั๋วโดยสารไปHallstatt(ไม่มีรายละเอียดขบวนรถ ต้องย้อนไปดูที่ตู้ซื้อตั๋ว)



           ได้ตั๋วแล้วรีบเดินออกไปยังหน้าสถานีรถไฟ เดินเก้ๆกังๆไม่รู้ทิศ จึงกลับเข้าไปสถานี ถามที่Information Center บอกตำแหน่งทิศทางขึ้นรถบัสให้  รถบัส สาย150 ขึ้นรถที่หน้าสถานีด้านซัายมือ terminal  F  ยืนรอสักพักได้เวลารถบัสมาตรงเวลามาก 


รถบัสไปHallstatt


รถบัสเป็นรถบัสขนาดใหญ่พ่วง2 คันติดกัน  เราขึ้นด้านหน้ายื่นตั๋วให้คนขับแล้วขึ้นไปนั่งด้านซ้ายมือตามที่ได้อ่านรีวิวมาจะได้เห็นวิวสวยๆ ของทะเลสาบWolfgung


         รถจะค่อยๆแล่นฝ่าเมืองออกไปมุ่งหน้าสู่ Bad ischi  พอพ้นเขตเมืองรถจะพาเราไต่ระดับขึ้นเขา ที่สองข้างทางเป็นทุ่งหญ้า ภูเขา  บ้างก็เป็นป่าไม้เปลี่ยนสี ดูสวยงามเพลินตาระหว่างทางรถจะจอดป้ายรับส่งผู้โดยสารเป็นระยะๆ  ผ่านเมือง ผ่านป่าไม้ ทุ่งหญ้า    ผ่านทะเลสาบWolfgungที่กว้างใหญ่ สวยงามมาก   

     

ทะเลสาบWolfgung

ทะเลสาบWolfgung


    ระหว่างทางมีเด็กนักเรียนตัวเล็กๆขึ้นมาเต็มรถแต่ละคนแบกเป้ใบใหญ่  โรงเรียนเลิก กลับบ้านเอง นั่งราว2-3 ป้ายก็ทยอยกันลงจากรถ เด็กๆสามารถลงป้ายรถเมล์กลับบ้านเองได้ ยอดไปเลยถ้าบ้านเราผู้ปกครอง จอดรถรอเต็มหน้าโรงเรียน    พอรถใกล้ถึงBad Ischi รถลอดอุโมงค์ระยะทางยาวราว500 เมตรโผล่ไปอีกฟากของภูเขา สักพักก็ถึง Bad Ischi  

สถานีรถไฟ Bad ischi


          รถบัสจอดข้างสถานีรถไฟส่งผู้โดยสารให้ต่อรถไฟขบวนREX ไป Hallstatt  รถไฟออสเตรียขบวนนี้สีแดงสดใส กว้างขวาง สะอาดสวยงามน่านั่งมาก รถไฟพาเรามุ่งหน้าไปยังทะเลสาบHallstatt 

นส


ไม่นานก็เห็นทะเลสาบอยู่ด้านขวามือ มองเห็นน้ำสีครามสวยงามมาก รถไฟจอดที่ป้ายหยุดรถHallstatt    



 ป้ายหยุดรถนี้อยู่ทะเลสาบอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้านHallstatt  ที่ริมฝั่งมีเรือจอดรออยู่  ผู้โดยสารต้องนั่งเรือferry ไปยังหมู่บ้าน Hallstatt 



ตารางเดินเรือจากท่ารถไฟไป Hallstatt

ตารางเรือข้ามฟากจากHallstatt ไปขึ้นรถไฟ

ค่าเรือข้ามทะเลสาบไปกลับคนละ 7 ยูโร ขากลับจะกลับวันไหนก็ได้ขอให้เก็บตั๋วไว้ ซื้อตั๋วก่อนขึ้นเรือจากพนักงานเมื่อผู้โดยสารทุกคนขึ้นบนเรือแล้วป้าที่ขายตั๋วเรือก็ทำหน้าที่เป็นกัปตัน  ขับเรือมุ่งสู่  Hallstatt ที่อยู่อีกฟากหนึ่งของทะเลสาบ






              ทะเลสาบHallstattสวยงามมาก ขอบอก ทะเลสาบกว้างใหญ่ น้ำสีครามดูเงียบสงบ มองไกลๆเห็นหมู่บ้านตั้งอยู่ริมน้ำ มีฉากหลังเป็นภูเขาที่ยอดปกคลุมด้วยหิมะ ได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศทะเลสาบอันแสนสวย นั่งเรือราวๆ15 นาทีก็ถึงฝั่ง



    


อนึ่ง หากมาHallstattโดยรถบัส รถบัสจะเลียบฝั่งซ้ายของทะเลสาบ ลอดภูเขาโผล่ไปHallstatt ตรงท้ายหมู่บ้านเลยครับ ไม่ต้องนั่งเรือข้ามทะเลสาบ

ลานตรงป้ายจอดรถบัสที่Hallstatt

      ตอนต่อไปจะพาชม Hallstatt ทั้งจุดชมวิวที่เป็นSignature พลาดไม่ได้  วิวที่สวยงาม สงบของทะเลสาบHallstatt. หมู่บ้านมรดกโลก จุดชมวิวมรดกโลกบนยอดเขาสูง โปรดติดตามครับ


เที่ยวเยอรมันด้วยตนเอง : พาชมปราสาทNeuschwansteinต้นแบบปราสาทเทพนิยายของดีสนีย์

I






           จุดท่องเที่ยวที่เป็นเป้าหมายหลักของการมาเที่ยวเยอรมันในครั้งนี้ คือการไปชมปราสาทเทพนิยาย Neuschwansteinปราสาทยุโรปที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อายุเก่าแก่กว่า 160 ปี ที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาAlp ทางตอนใต้ของเยอรมัน ปราสาทนี้สร้างขึ้นโดยพระเจ้าลุควิกที่2 แห่งบาวาเรีย

           การเที่ยวของเราเป็นการเที่ยวเยอรมันด้วยตนเอง และใช้รถไฟเป็นพาหนะหลักในการเดินทาง การใช้โทรศัพท์เป็นสิ่งจำเป็นขาดไม่ได้ Appที่ใช้ประจำได้โหลดจากเมืองไทยไป  คือ DB ของการรถไฟเยอรมัน ที่ใช้ดูตาราง เวลารถไฟ และApp Rail Planer สำหรับใช้กับตั๋ว German Rail Pass    การใช้App เป็นการวางแผนการเดินทางไปสถานีให้ทันเวลา แต่พอถึงสถานีค่อยไปดูที่Board อีกทีหนึ่งซึ่งเวลาจะเป็นปัจจุบันกว่า 




ชานชาลาตรงห้องโถงใหญ่สถานีMunich HBF

         วันนี้7 พ.ย 66 เป็นวันที่2 ของการเดินทางมาเยอรมัน เมื่อวานเที่ยวในเมืองมิวนิค เลยไม่ต้องพึ่งApp DB ส่วนวันนี้จะเดินทางไปปราสาทNeuschwanstein  ซึ่งต้องนั่งรถไฟไปเมือง Fussen แล้วนั่งรถบัสต่อไปที่ปราสาท 

          จากการเตรียมการมาพบว่าตั๋วที่เหมาะสม คือ Bayern Card ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งรถไฟและรถบัส ซื้อครั้งเดียวใช้ได้ทั้งไปและกลับ คนเดียว 27 ยูโร คนต่อไปบวกอีกคนละ9 ยูโร  เราไป3 คนซื้อตั๋วสำหรับ3 คนรวมราคา45 ยูโร ซึ่งราคาถูกมากหากเทียบกับซื้อตั๋วรถไฟแต่ละเที่ยว    ซึ่งตั๋วรถไฟเยอรมันนั้นหากซื้อล่วงหน้าไว้นานๆราคาจะถูกกว่าซื้อเมื่อถึงวันเวลาที่จะขึ้นรถไฟ แต่มีข้อเสียคือตั๋วจะเปลี่ยนวัน เวลา หรือขบวนไม่ได้ จึงไม่สะดวกไม่ยืดหยุ่น 

           ส่วนBavaria Card หรือ Bayern Ticket ใช้ตามวันที่ระบุไว้ จะขึ้นรถไฟขบวนไหนก็ได้ แต่ต้องเป็นรถไฟท้องถิ่นLocalหรือRegional  Train เท่านั้นนะครับ และมีข้อจำกัด หากเป็นตั๋ววัน สามารถใช้ได้ช่วงเวลาตั้งแต่9.00 น.ถึงเที่ยงคืนเท่านั้น อนึ่งBavaria Card ใช้ได้ในเขตรัฐบาวาเรียเท่านั้นและรวมไปถึงรถไฟไปSalzburgของออสเตรียด้วยครับ

        

ชานชาลาบริเวณZone3 ซึ่งอยู่ลึกไปทางด้านขวาของสถานีMunich HBF

      แผนการเดินทางของเราในวันนี้ จะเดินทางโดยรถไฟจากMunich ไปยัง Fussen เวลา 09.41 น.(เที่ยวเช้ากว่านี้ราว08.45 น.ใช้ตั๋วBavaria Cardไม่ได้) ดังนั้นจึงทานอาหารเช้าที่โรงแรมแบบสบายๆไม่เร่งรีบ จากนั้นเดินไปสถานีรถไฟถึงเวลา8.20 น.เราต้องไปซื้อตั๋ว Bavaria Card ก่อนครับ ปรากฏว่าหาตู้ซื้อตั๋วไม่เจอ ต้องไปเข้าคิวซื้อตั๋วที่Information แต่คิวยาว เสียเวลามาก รออยู่นานเหลือบเห็นตู้สีน้ำเงินอยู่ข้างๆเคาน์เตอร์ เลยลงกดเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษ กดไปกดมา ใช้ได้ครับ ได้ตั๋วbayern ticket 1ใบสำหรับ3 คน 45 ยูโร ใข้แบงค์50ยูโร สอดเข้าไป ได้ตั๋วพร้อมเงินทอน รีบวิ่งไปชานชาลา

       

ตู้ขายตั๋วรถไฟทางไกล

 

     ผล? เลยเวลารถออกไปแล้ว เลยต้องรอดูที่บอร์ดว่าขบวนถัดไปกี่โมง พบขบวนถัดไปเวลา 10.45 น.ปลายทางBuchloe อยู่ชานชาลา30 ซึ่งต้องเปลี่ยนขบวนต่อไปยังFussen ไม่เป็นไรไปช้าดีกว่าไม่ได้ไป เราจึงเดินสำรวจสถานีรถไฟMunich เป็นสถานีเก่าแก่ ห้องโถงไม่ใหญ่นัก แต่มีชานชาลามากมาย ราวๆ35 ชานชาลา ชานชาลาเลขต้นๆZoneแรกและZone3เลขท้ายๆอยู่นอกโถงใหญ่ทางด้านซ้ายและขวา Zone 2อยู่บริเวณห้องโถงใหญ่ส่วนตู้ขายตั๋วอัตโนมัตินั้นอยู่กระจายไปตามชานชาลาZone1และ3  รวมทั้งมีInformation Counterไว้คอยบริการผู้โดยสารอยู่บริเวณชานชาลาแต่ละZone  เราจึงได้ใช้บริการจากเจ้าหน้าที่ที่ Information Counterนี้ ว่ารถไฟที่จะไปBuchloeนั้น เราสามารถขึ้นได้และไปต่อยังFussenได้หรือไม่ สร้างความมั่นใจว่าเราขึ้นรถไม่ผิดขบวน  

       

ตู้ขายตั๋วที่ซื้อ Bayern Card ได้


        เมื่อขบวนรถไฟมาเทียบชานชาลาหมายเลข30เราก็ขึ้นไปตรงตู้ที่มีหมายเลข2 ตัวโตๆซึ่งหมายถึงชั้น2   เลือกที่นั่งได้ตามใจชอบครับขบวนนี้เป็นรถไฟท้องถิ่นมักไม่มีคนจองที่นั่ง รถไฟเยอรมันกว้างขวาง สะอาด น่านั่งครับที่นั่งมีทั้งหันหน้าเข้าหากันมีโต๊ะอยู่ตรงกลางไว้สำหรับนั่งทำงาน หรือจะทานขนม อาหาร เครื่องดื่มก็ได้ครับ หรือแบบหันหน้าไปทางเดียวกัน  บนรถไฟมีที่ชาร์จแบตแต่เราต้องเตรียมAdapterไปนะครับ  ห้องน้ำบนรถไฟกว้างและสะอาดดีครับ 

     




       เรานั่งชมวิวสองข้างทาง ที่มีทุ่งหญ้า พื้นที่เกษตรกรรม สลับกับภูเขาและป่าไม้ที่ต้นไม้เปลี่ยนสี 




     ราวชั่วโมงกว่าๆก็ถึงสถานี Buchloe จากนั้นรีบเดินไปชานชาลาถัดไปที่ขบวนรถไปFussenจอดรออยู่ หาง่ายครับไม่ต้องกลัวว่าจะหลงหรือพลาดขบวนรถไฟ หรือไม่ก็เดินตามผู้คนเยอะๆนั่นแหละครับ จุดหมายเดียวกัน 

       


เรานั่งรถไฟสักครึ่งชั่วโมงก็ถึงสถานีFussen แล้วเดินไปหน้าสถานี  ป้ายรถบัสสาย73 และ 78 จะอยู่ตรงข้ามสถานีเยื้องไปทางขวามือ เราเดินข้ามถนนไปรอที่ป้ายได้เลย ไม่ต้องซื้อตั๋วเพราะBayern Ticket ที่เรามี ขึ้นได้ฟรี หากใครไม่มีตั๋วซื้อที่พนักงานขับรถได้ครับคนละ 2.4 ยูโร  รถบัสคันใหญ่ ขึ้นทางด้านหน้าโชว์ตั๋วให้คนขับแล้วเดินเข้าไปหาที่นั่งตามสะดวก 

     



    

                 รถบัสวิ่งผ่านเมืองFussenไป ไปตามถนนหลวง มุ่งหน้าไปยังภูเขาที่ตั้งของปราสาทNeuchwanstein ราวๆ15 นาทีก็พาเราไปถึงจุดจอดรถที่ตีนเขา เราเดินขึ้นเนินไปทางขวา จะเห็นที่ขายตั๋วเข้าชมข้างในปราสาท ปกติคิวจะยาวเลยครับ แต่วันนี้โล่งครับไม่มีคิว ช่วงนี้ย่างเข้าฤดูหนาวอาจเป็นช่วงLow season ประกอบกับเป็นวันธรรมดาคนเลยน้อย  ตั๋วเข้าชมจะมีขายเป็นรอบๆครับตามตารางเวลา  อาจซื้อตั๋วทางOnlineได้ครับ  หากไม่ซื้อตั๋วก็สามารถขึ้นไปชมปราสาทได้ครับเพียงแต่ไม่ได้ชมข้างในเท่านั้นเอง และข้างในปราสาทห้ามถ่ายรูปครับ การขึ้นไปชมปราสาทจะเดินขึ้นไป หรือขึ้นรถม้าค่ารถคนละ8 ยูโร หรืออาจขึ้นรถบัสไปก็ได้ครับค่าขึ้นคนละ 3 ยูโร ขาลงคนละ 2 ยูโร ถ้าหากซื้อตั๋วไป-กลับคนละ3.5 ยูโร  ผมเลือกอย่างหลังครับขึ้นรถบัสไป-กลับคนละ 3.5 ยูโร  รถบัสจะจอดที่ P 4 ซึ่งอยู่ใกล้ๆทางขึ้น.  ซื้อตั๋วที่คนขับได้เลยครับ  

จุด P 4 ที่จอดรถบัสขึ้นเขา


         รถบัสพาเราขึ้นเขาคนละเส้นทางกับทางเดินเท้า ใช้เวลาราว10กว่านาที ก็พาเราไปถึงจุดจอดรถซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสะพาน  

จุดจอดรถบัสบนเขาอยู่ใกช้สะพานชมวิว

   ซึ่งเป็นจุดชมวิว  ขากลับขึ้นที่เดิมครับ เราพากันเดินขึ้นไปทางขวามือซึ่งเป็นสะพานโครงสร้างเหล็กทอดข้ามเหวลึกเชื่อมเขาสองลูก 


ป้ายบอกชื่อ รายละเอียดของสะพาน



      ตรงนี้เป็นจุดชมปราสาทNeuschwansteinที่สวยงามที่สุดจุดหนึ่งครับ เป็นจุดที่ห้ามพลาด สะพานนี้จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนต้องมาเดินบนสะพานชมปราสาท นักท่องเที่ยวที่โดยสารมากับรถบัสคันทีพาเราขึ้นมา ทุกคนจะมาจุดนี้เป็นจุดแรก ทำให้สะพานคนแน่นทีเดียว เรามาเอง เวลายืดหยุ่นอยู่แล้วจึงอยู่รอจนคนเหลือน้อย สะพานจึงเป็นของเรา จับจองมุมถ่ายรูปได้ตามสบายไม่ต้องแย่งใคร ผมเคยมาครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีที่ผ่านมาเจอช่วงลมแรงมากจนไม่สามารถยืนบนสะพานได้ แต่คราวนี้โชคดีไม่มีลม นักท่องเที่ยวต่างเพลินกับการชมวิว ถ่ายรูปบนสะพาน  หากมองไปข้างล่างจะเห็นลำธารใส น้ำไหลแรง ไม่กล้ามองนานหวาดเสียวครับ เคยอ่านข่าวเมื่อ2-3ปีที่ผ่านมา บริเวณสะพานนี้มีนักท่องเที่ยวคนไทยพลัดตกลงไปเสียชีวิต

       





       จากสะพาน เราเดินย้อนมาที่จุดจอดรถบัส แล้วเลยลงไปตามทางเพื่อไปปราสาทNeuchwansteinซึ่งไกลพอสมควรแต่ระหว่างทางมีธรรมชาติสวยๆให้ชมทั้งต้นไม้ที่ใบเปลี่ยนสีสวยงาม เดินจนถึงด้านหน้าปราสาทที่ใหญ่โตมโหฬาร อลังการจริงๆครับปราสาทของพระเจ้าลุควิกที่2

       



หน้าประตูปราสาท Neuschwanstien

           ลานด้านล่างตรงด้านหน้าปราสาทใกล้ๆลานที่จอดรถม้า มีมุมถ่ายรูปสวยๆที่เห็นตัวปราสาท และด้านตรงข้ามจะเป็นจุดชมวิวด้านล่างที่มองเห็นเป็นทุ่งหญ้าและโบสถ์เล็กๆอยู่กลางทุ่ง ดูสวยงามมาก 

  


ทิวทัศน์จากจุดชมวิวหน้าปราสาท

       ชมปราสาทเพลินจนอิ่มหนำสำราญใจแล้ว ขากลับเปลี่ยนใจไม่ขึ้นรถบัส เพราะต้องเดินย้อนขึ้นเขาไปลานจอดรถบัสอีกไกล  จึงตัดสินใจเดินลงไปตามทางลง ทางลงสบายครับเป็นถนนลาดยาง  มีมุมถ่ายรูปสวยๆทั้งมุมที่เห็นปราสาทอยู่ท่ามกลางป่าไม้เปลี่ยนสี มุมสองข้างทางเป็นป่าไม้ที่กำลังเปลี่ยนสีสวยงามมาก ระหว่างทางมีน้ำตกไหลรินจากเขาให้ชมด้วยครับ

     

ปราสาท มองจากถนนทางลงจากปราสาท





       เดินไปถ่ายรูปไปเพลินจนมาถึงข้างล่างแบบไม่ทันเหนื่อย ก่อนถึงด้านล่างจะมองเห็นปราสาทHohenschawngau พระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์บาวาเรียสมัยคริสตวรรษที่12 ถึง 16 ตั้งอยู่เนินเขาอีกฟากหนึ่งท่ามกลางทิวทัศน์ป่าไม้และเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะอยู่เป็นฉากหลังไกลๆ

 



  แต่ตอนนี้สามโมงครึ่งเราไม่มีเวลาเดินขึ้นไปชมปราสาทแบบใกล้ๆแล้ว จึงเดินไปชมร้านขายของที่ระลึก ชมรถม้า และตรงไปที่ลานจอดรถบัส ไปถึงลานจอดโชคดีรถบัสกำลังเคลื่อนตัวพอดี วิ่งตามไปทันเขาเปิดให้ขึ้นแล้วออกรถทันที  ไม่งั้นคงต้องรออีกกว่าครึ่งชั่วโมง 




       รถบัสพาเราไปถึงสถานีรถไฟFussen สี่โมงพอดี ยังพอมีเวลากว่า40 นาทีที่รถไฟเที่ยวต่อไปที่จะไปMunich ออก จึงเดินไปร้านอาหารในเมืองใกล้สถานี ทานKebub ไก่ และPizza( พริกซึ่งมีแต่พริกเม็ดใหญไม่มีเนื้อสัตว์เลย )พร้อมเบียร์ท้องถิ่น รองท้องก่อน เพราะกว่าจะถึงมิวนิคก็ราวทุ่มเศษๆ



 พอได้เวลาก็เดินมาสถานีรถไฟ ขึ้นรถไฟใช้ตั๋วเดิมBayern Ticketนั่นแหละครับ คุ้มค่า  รถไฟเยอรมันตรงเวลา พอได้เวลารถเคลื่อนทันที นั่งชมทิวทัศน์สองข้างทางไปจนฟ้ามืด หลับๆตื่นๆสบายๆไปจนถึงMunich  ทานข้าวที่สถานีแล้ว ออกจากสถานีแวะร้านค้าใกล้ที่พัก ซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่1.5 ลิตร ราคา3 ยูโร กลับห้องพัก ไว้สำหรับดื่มและต้มน้ำชงกาแฟ เพราะน้ำก๊อก ลองต้มแล้วมีตะกอน  และไม่ลืมที่จะซื้อเบียร์ท้องถิ่นรสชาติอร่อยเพียงขวดละ2.5 ยูโรติดมือไปดื่มในห้องระหว่างจัดกระเป๋าไปเที่ยวออสเตรียในวันรุ่งขึ้นครับ




     

เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

           Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมือ...