เที่ยวสวนอินทผาลัมใกล้ กรุงเทพ Date Palm Farm near Bangkok

 




            ท่านที่ชอบชมสวนผลไม้ วันนี้ผมจะพาไปเที่ยวชมสวนอินทผาลัม ใกล้กรุงเทพ ไม่ต้องไปไกลถึงต่างจังหวัด ชื่อสวนอินทผลัมปรีชา ตั้งอยู่ที่บางบัวทองนี่เอง แต่ไม่มีรถประจำทางผ่านนะครับ ต้องขับรถไปเอง ผมขับรถตามเส้นทางหลวงหมายเลข 345 มุ่งหน้าไปสุพรรณบุรี พอถึงบางบัวทองข้ามสะพานลอยไปเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข3030 บางบัวทอง-สุพรรณบุรี พอลงจากสะพาน ให้ขับเลนซ้ายตรง มาราว100 เมตร ก่อนถึงปั้มแก๊ส LPG ปตท ซึ่งเป็นปั้มแรกบนเส้นทางสายนี้ที่มุ่งหน้าสุพรรณบุรี  มีถนนเล็กๆทางซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายขับตรงไปเรื่อยๆผ่านหมู่บ้าน ทุ่งนา และหมู่บ้านจัดสรรที่ผันมาจากทุ่งนา  ตรงไป ราวกิโลเมตรเศษ ลอดผ่านทางยกระดับถนนชัยพฤกษ์ เล็กน้อย จะเห็นป้ายสวนอินทผลัมปรีชา ร้านเกาเหลาอากง อยู่ทางซ้ายมือ  เราขับรถไปตามถนนคอนกรีตที่ประดับหินกรวดสีสวยสะดุดตา ราว 300 เมตรก็ถึงฟาร์ม


        

  ที่ฟาร์มมีที่จอดรถทั้งกลางแจ้งและมีหลังคา มีพนักงานโบกรถ จัดการที่จอดรถให้ครับ  วันนี้วันหยุดนักท่องเที่ยวเยอะมาก รถเต็มลานจอดเลยครับ จอดรถเสร็จเดินชมสวนได้เลยครับ ชมฟรี สวนนี้ไม่เก็บค่าชม ที่สวนมีจุดเช็คอินหลายจุด แต่ละจุดสวยงามน่าถ่ายรูป น่านั่งเล่น มีทางเดินที่มีต้นกุหลาบทั้งดอกจริงดอกปลอมสีสวยสดทั้งข้างทาง ทั้งมีร่มสีสวยสดใสวางต่อกันเป็นหลังคายาวไปตลอดทาง   ข้างทางเดินเป็นปาล์มต้นเล็ก  และปาล์มที่ติดลูกแล้ว เราสามารถเดินเข้าไปในสวนอินทผลัมได้เลยครับ 



 สวนสะอาดโล่ง มีหญ้าต้นเล็กๆเบาบาง สวนนี้มีพื้นที่ร้อยกว่าไร่ ตั้งมาราว10 ปี ปัจจุบันมีต้นอินทผาลัมพันกว่าต้นทั้งที่ให้ผลแล้วและต้นเล็ก  เราเข้าชมสวนอินทผลัมที่ติดผลอยู่ มีทั้งพันธุ์สีแดง สีเหลือง และสีส้ม แต่ที่เราเห็นมีเพียงเหลืองและ แดง ส่วนสีส้มไม่มีทราบจากคนสวนบอกว่าหมดรุ่นแล้ว  ส่วนต้นที่ออกผลแล้วยังไม่แก่ดีก็จะมีถุงกระดาษคลุมช่อไว้ นักท่องเที่ยวต่างเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปกับต้นอินทผลัม แต่ละต้นมีผลดกหลายทะลาย สีสดสวย จับต้องได้ครับแต่ห้ามเด็ด




 อินทผลัมที่นี่หรือที่ใหนๆในเมืองไทยเป็นแบบกินผลสดครับ บ้านเราปลูกแบบผลที่เก็บแห้งแบบที่ขายเป็นแพคในท้องตลาดไม่ได้ครับ มาที่นี้ได้ความรู้ว่าปาล์มกินสดมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์บาฮี สีเหลือง สีแดง  พันธุ์โคไนซี สีแดง เป็นต้น 

        ชมสวนอินทผาลัม หนำใจแล้ว ก็เดินไปที่ซุ้มร้านค้าเลยครับ ที่นี้ มีร้านขายผลปาล์มสดจากฟาร์มต่างๆมาเปิดขายหลายร้าน มีผลปาล์มให้ชิม เดินชิมแต่ละร้าน รสชาติหวาน มีฝาดบ้าง แล้วแต่สายพันธุ์ แต่กรอบอร่อยทุกพันธุ์เลยครับ ถูกใจซื้อกลับบ้านได้ครับราคาไม่แพง ถุงละ200 ขั้นต่ำ มีราวๆ 6 ช่อครับ  จากการสังเกตุนักท่องเที่ยวแต่ละคนต่างซื้อติดมือกลับบ้าน นับว่ากลยุทธของฟาร์มนี้ได้ผลครับ ไม่เก็บค่าเข้าชม แต่ได้จากคนมาเยอะและซื้อผลอินทผาลัมกลับบ้าน





  นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟในห้องแอร์เย็นฉ่ำ มีทั้งกาแฟหลากหลายรสและน้ำอินทผาลัม อาโวคาโดปั่นใสน้ำเชื่อมอินทผลัม หวาน เย็นชื่นใจ ส่วนท่านใดที่สนใจกล้าพันธุ์ที่นี่ก็มีขายครับ ยุคนี้เป็นพันธ์ุเนื้อเยื่อ ไม่ต่อวกังวลเรื่องการกลายพันธุ์m แถมยังเจริญเติบโตได้ดีอีกด้วย  


    ชมฟาร์ม ซื้อผลอินทผลัม  และดื่มน้ำปั่นแล้ว ขับรถออกจากฟาร์ม ก็ต้องแวะร้านเกาหลาอากง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่  เข้าใจว่าร้านนี้คงเป็นเจ้าของหรือเครือเดียวกันกับสวนอิทผลัมปรีชา ร้านนี้ใหญ่โตมากเป็นร้านเปิดหลังคาสูงไม่ติดแอร์   ตกแต่งร้าน ประดับประดาด้วยโคม ดอกไม้สีสรรสวยงาม  โต๊ะนั่งไม้ ราวๆ 100 กว่าโต๊ะ ห้องครัวห้องเตรียมอาหารเปิดโล่งโชว์ลูกค้า






  คนเยอะมากต้องใช้บริการบัตรคิว  บริการเป็นระบบดีครับ อาหารหลากหลาย ทั้งเมนูก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย เมนูข้าว เมนูยำ  และที่ขึ้นชื่อคือ เกาเหลาหมูตุ๋น ตามชื่อร้านเกาเหลาอากง


  ผมจึงสั่งเกาเหลามาทาน รอไม่นาน ได้เกาเหลาชามใหญ่พอควร  ปรุงรสนิดหน่อย รสชาติอร่อยมากครับ มิน่าคนเต็มร้าน  ท่านใดสนใจแวะไปชิมได้ครับ ได้บุญด้วยครับ ทางร้านนำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 10 % ให้ศิริราชมูลนิธิ “เพื่อผู้ป่วยยากไร้”   วันหยุดนี้ลองไปเที่ยวสวนอิทผาลัมและชิมเกาเหลากันครับ




google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0

เที่ยว Georgia กับทัวร์ Ep.2 ชมมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ Tabilisi หนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0







   สนามบิน Tbilisi อยู่ห่างเมืองราวๆ16 กิโลเมตร หากท่านใดมาเองจะมีรถShuttle busเข้าเมืองราคาราวๆ 560 บาท   ส่วนรถบัสของคณะทัวร์พาพวกเราออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปทางเมืองTabilisi ตรงไปยัง The Chronicles of Georgia  หรืออนุสรณ์สถานประวัติศาสตร์ของจอร์เจียที่อยู่บนเนินเขาKenisiตอนเหนือของเมืองTbilisi 

      เมื่อไปถึงเราจะเห็นกลุ่มเสาขนาดใหญ่สีดำ คล้ายสโตนเฮนส์ที่อังกฤษ ตั้งอยู่บนเนิน เราต้องเดินขึ้นไปตามบันไดสูงพอควร บนยอดเนินเป็นลานที่ปูด้วยหินมีเสาขนาดยักษ์ใหญ่ขนาดสิบคนโอบ สูง 35 เมตร 16 ต้น เป็นเสาที่ทำด้วยหิน ทองแดงและทองสัมฤทธิ์ แต่ละเสาบันทึกปฎิมากรรมเรื่องราวประวัติศาตร์ของจอร์เจีย และเรื่องราวในพระคัมภีร์  ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก  หากใครสนใจประวัติศาสตร์จะเพลิดเพลินยิ่ง ไกด์ยุคนี้ไม่ต้องบรรยายมากนักเพราะลูกทัวร์สนใจการถ่ายภาพมากกว่า จึงเน้นบริการถ่ายภาพให้ลูกทัวร์  



 


จากนั้นเราเดินไปรอบๆพบว่าทางด้านหลังมองลงไปจะเห็นทะเลสาบTbilisi มีน้ำสีฟ้าใสสวยงาม เป็นแหล่งน้ำสำคัญของชาวเมืองนี้  ส่วนอีกฟากหนึ่งทางด้านหน้าอนุสรณ์สถานสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองTbillsi ที่ตึกสูงใหญ่ตระการตา อยู่ด้านล่าง เป็นจุดชมวิวเมืองที่ดีจุดหนึ่ง  เดินถ่ายรูปกันสักพักจึงขึ้นรถบัสไปเที่ยวต่อ






    
รถบัสพาเรามุ่งหน้าไปยังมหาวิหารศักดิ์สิทธิ The Holy Trinity Cathedral  of Tabilisi ซึ่งห่างออกไปราว12กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง มหาวิหารนี้มีรูปทรงสูงตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของจอเจียร์ มีโดมใหญ่และมีโดมเล็กอีก4 โดมมีความสูงลดหลั่นลงมา มองดูสวยงามมาก ที่นี่เป็นโบสถ์หลักของคริสต์จักรนิกายออโทด๊อกซ์ของจอร์เจีย สร้างขึ้นเมื่อปีพ. 2538  ช่วงที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต เป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดของจอร์เจีย ทั้งยังเป็นหนึ่งในมหาวิหารของคริสตร์จักร์นิกายออร์โทด๊อกซ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และถือเป็นสัญลักษณ์ของจอร์เจียสมัยใหม่


  การเข้าไปในมหาวิหารนี้นี้ผู้หญิงต้องคลุมศรีษะ และแต่งกายให้มิดชิดคลุมเข่า  ในมหาวิหารพื้นปูด้วยหินอ่อน วิหารนี้กว้างขวางกว่า3,000 ตารางเมตร จุคนได้ถึง10,000 คน ผนังประดับด้วยโมเสส และภาพวาดสีน้ำ  ตรงโดมใหญ่มีหลังคาสูงโปร่ง ที่ผนังเป็นภาพของพระเยซู  มีชาวคริสต์นั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่หนาตา ส่วนนักท่องเที่ยวต้องเดินชมอย่างเงียบๆ  ทราบวิหารนี้มีห้องใต้ดินด้วยแต่เขาไม่เปิดให้เราเข้าชม 



 
เราอธิษฐานขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า แล้วออกมาเดินชมความงามรอบวิหาร ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ทำให้วิหารดูเด่นสง่างามมาก ด้านหน้ามหาวิหารยังมีสวนดอกไม้หลากสีและดงต้นมะกอกสีเขียวสด เป็นมุมพักผ่อนและถ่ายรูปด้วย    มหาวิหารนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ห้ามพลาดหากมาเที่ยวจอร์เจียครับ



  




       

          





พานั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง Yellow Line ของ MRT EBM

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0


   รถไฟสายสีเหลือง น้องเก๊กฮวยเพิ่งเปิดใช้ตลอดเส้นทาง 23 สถานีระยะทาง34 กิโลเมตร  ในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบเมื่อกลางมิถุนายนที่ผ่านมา วันนี้มีโอกาสได้ไปใช้บริการจากต้นทางสถานีลาดพร้าว ถึงสถานีปลายทางที่สำโรง จึงขอนำมาเล่าสู่กันครับพอสังเขปครับ

     สถานีต้นทาง สถานีลาดพร้าว ตั้งอยู่ติดกับอาคารจอดแล้วจรของMRT ตรงหัวมุมสี่แยกที่ตัดกันระหว่างถนนรัชดาภิเษกกับถนนลาดพร้าว ครับ 


       การเดินทางไปสถานีลาดพร้าว ค่อนข้างไม่สะดวกสบายนักครับ  หากมาจากBTS สายสีเขียวต้องลงที่สถานีห้าแยกลาดพร้าว ตรงเซ็นทรัลลาดพร้าวนั่นแหละครับ จากนั้นต้องเดินบนสกายวอล์คลงไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน MRT สถานีพหลโยธินที่ห่างไปราว 60  เมตร จากสถานีMRTนี้ นั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน ที่ชานชาลามุ่งหน้าห้วยขวาง นั่งไปเพียงสถานีเดียว ลงที่สถานีลาดพร้าว


   จากนั้นจึงเดินออกไปยังอาคารจอดแล้วจรของMRT เดินตามทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆจนไปถึงทางขึ้นบันไดเลื่อนไปสถานีสายสีเหลืองที่อยู่สูงข้างบน บางช่วงก็มีลิฟท์ไว้บริการครับ ช่วงจากห้างเซ็นทรัลถึงสถานีลาดพร้าว เดินเยอะหน่อยทั้งรอและนั่งรถไฟใต้ดิน ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงครับ  แต่หากท่านใดนำรถยนต์ส่วนตัวมา ให้นำมาจอดที่อาคารจอดแล้วจรซึ่งคิดค่าบริการจอด จากนั้นเดินตามทางเชื่อมไปสถานีสายสีเหลืองได้เลยครับ


       
บริเวณสถานีจะมีเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติอยู่ 3 ตู้ และมีห้องจำหน่ายบัตรโดยสารที่มีพนักงานจำหน่าย ผมจึงเดินไปที่ห้องจำหน่ายพร้อมยื่นบัตรเบ่ง บัตรประชาชนครับ  สูงวัย60 ขวบขึ้นไปได้ลดราคา ค่าตั๋วจากสถานีลาดพร้าวถึง สถานีสำโรง 23 บาท จากราคาเต็ม 45 บาท 



  นอกจากนี้หากใครมีบัตรเครดิต EMV ทีมีสัญญลัษณ์wifi สามารถนำมาใช้ชำระค่าโดยสารได้ครับ


ได้บัตรโดยสารพลาสติกแล้วสอดบัตรผ่านเข้าไปข้างในแล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้นจึงจะถึงชานชาลาครับ
 บริเวณชานชาลามีกระจกกั้นขอบรางรถไฟไว้ตลอดชานชาลาครับ ประตูจะเปิดเมื่อรถไฟมาเท่านั้นครับ ไม่ต้องกลัวหล่นลงไป ที่ชานชาลาวันนี้เป็นวันอาคารราว10 โมงมี ผู้โดยสารราว10 คนครับ ผมเดินไปยืนรอตรงด้านซ้ายสุดตรงประตูแรกเลยครับเพื่อรอขึ้นตู้หน้าสุดของขบวนซึ่งมีอยู่ 4 ตู้ 




      เมื่อรถจอดเทียบชานชาลา ประตูเปิดให้เข้า พบตู้โดยสารค่อนข้างกว้างมีที่ยืนเป็นส่วนใหญ่ มีเก้าอี้นั่งสีเหลืองข้างละตัวทั้งสองฝั่งและด้านหลังของตู้  ส่วนด้านหน้าหัวรถติดกับกระจกหน้าบานใหญ่เป็นคอนโซลขนาดใหญ่มีที่นั่ง2 ที่ หน้ารถไม่มีแผงควบคุมหรือพนักงานขับรถ มีเพียงเจ้าหน้าที่ยืนกำกับอยู่คอยแก้ไขสถานการณ์หากเกิดเหตุฉุกเฉิน   รถไฟสายสีเหลืองเป็นรถไฟที่ไม่มีคนขับ ควบคุมการขับเคลื่อน เปิด-ปิดประตูรถจากศูนย์ควบคุม   รถไฟสายนี้เป็นรถMono Rail คือ รถเคลื่อนที่บนรางเดียว เหมือนที่เคยเห็นในสวนสนุก



  ยืนมองตรงคอนโซลด้านหน้ารถจะเห็นรางรถไฟเป็นรางปูนกว้างราวๆ1ฟุต  รางขนานกันไประยะห่างพอควรเพื่อรถวิ่งสวนกันคนละราง  

     ขบวนรถแล่นไปตามรางปูนลอยฟ้า ความเร็วซึ่งผมประมาณเองว่าราวๆ50-60กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะแล่นไม่ราบเรียบนัก มีความสั่นสะเทือนขึ้นลง พอควร  ราวๆกับนั่งรถที่โชคอัพแข็งๆบนผิวจราจรที่พื้นผิวขรุขระ ต่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือรถไฟสายอื่นๆที่ไม่มีการสั่นสะเทือนแบบนี้  ไม่ทราบว่าสาเหตุจากราง หรือล้อยางที่แข็งเกินไป หรือจากระบบของตัวรถเอง  แต่รถสายสีเหลืองมีเสียงดังเบากว่านิดหน่อยและไม่มีเสียงล้อรถบดสีกับรางรถไฟ รถสายนี้วิ่งไปอยู่เหนือถนนลาดพร้าวจนถึงบางกะปิ แล้วเลี้ยวไปทางลำสาลี ไปทางศรีกรีฑา เรื่อยไปทางหัวหมาก ที่สถานีหัวหมากเป็นสถานีเชื่อมต่อรถไฟสายแอร์พอร์ตลิงก์ได้ แต่ดูแล้วแต่ละสถานีทั้งสองอยู่สูงและมีระยะทางห่างจากจุดตัดของเส้นทางทั้ง2สาย ราว100 เมตรไม่มีSkywalkเชื่อม ไม่แน่ใจว่าพื้นล่างมีทางเชื่อมโดยเฉพาะหรือไม่ หากไม่มีถ้าลากกระเป๋าใบใหญ่ไปมาระหว่างสถานีนี้คงทุลักทุเลน่าดูคงได้เปลี่ยนล้อกระเป๋าหรือไม่ก็เปลี่ยนคนลากกระเป๋าเป็นแน่ 



สถานีแอร์พอร์ตลิงค์หัวหมาก

 จากสถานีหัวหมากรถไฟจะมุ่งหน้าไปทางศรีนครินทร์ ผ่านซีคอนแสควร์ ที่สถานีสวนหลวง .9 สถานีอยู่ห่างจากสวนหลวงพอควร กลางวันแดดร้อนหากไปคงต้องนั่งมอไซด์  ส่วนผมแวะลงสถานีสวนหลวง .9 (ใช้เวลาจากลาดพร้าวถึงสถานีนี้ 40 นาที)



แล้วไป
ทานก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดสดในห้างพาราไดซ์ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุง ช่วงนี้มีพ่อค้าพนักงานมากกว่าลูกค้า 


 
จากนั้นเดินกลับมาที่สถานีสวนหลวงร. 9 ซื้อตั๋วใหม่ เพื่อนั่งต่อไปยังปลายทางที่สถานีสำโรง

ช่วงก่อนเที่ยงผู้โดยสารก็ยังเบาบางเช่นเดิม 
 รถไฟแล่นผ่านไปยังสถานีศรีอุดม  ผ่านสถานีศรีเอี่ยมที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดหนักบริเวณนี้  แล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปยังสถานีศรีลาซาลซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศไทยซึ่งสูง 24.4 เมตร ที่ยกระดับข้ามแยกศรีลาซาลที่มีถนนยกระดับข้ามแยก   จากนั้นลดระดับสู่ระดับปกติไปยังสถานีศรีอีกศรี คือ ศรีแบริ่ง ศรีด่าน ศรีเทพา แล้วถึงสถานีทิพวัล  ไปสิ้นสุดที่สถานีสำโรง  รถไฟสายสีเหลืองมีสถานีที่ขึ้นด้วยศรี รวม  สถานีจากทั้งหมด 23 สถานี 

       ระยะเวลาเดินทาง หากรวมระยะเวลาจากสถานีต้นทางที่ลาดพร้าวจนถึงสถานีสำโรง จะใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมง5 นาที  รถแล่นไม่เร็วนักเฉลี่ยแล้วสถานีละนาที 23 สถานีก็เกินชั่วโมงแล้วครับ ไม่นับรวมบางสถานีที่ต้องหยุดนานหน่อยเพื่อบริการผู้ใช้รถเข็นที่พนักงานต้องนำแผ่นเหล็กมาพาดเชื่อมรถกับชานชาลา แล้วเข็นรถเข้าหรือออกเรียบร้อยแล้ว จึงวิทยุแจ้งให้สถานีควบคุมปิดประตูรถ  จาก  การสังเกตุรถไฟสายสีเหลืองในช่วงกลางวันผู้โดยสารยังเบาบางครับแต่ละสถานีมีคนขึ้นลงสิบกว่าคน ส่วนเช้า-เย็น คงมีผู้โดยสารใช้เยอะกว่านี้ครับ 


            สถานีสำโรง เป็นสถานีที่บรรจบกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว มีสกายวอล์กเชื่อมต่อกันระยะทางราว50 เมตรสามารถต่อรถไฟฟ้าบีทีเอสที่สถานีสำโรง ไปทางสมุทรปราการหรือเข้าเมืองไปทางอโศก  สยาม อนุสาวรีย์ ต่อไปจนถึง สะพานใหม่ คูคตได้ครับ










  ผมนั่งรถไฟสายสีเขียวจากสถานีสำโรง เข้าเมืองไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิใช้เวลาเพียง30 นาทีก็ถึง ช่วงเที่ยงกว่าๆผู้โดยสารเต็มทุกตู้ครับผู้มาใช้บริการเยอะทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้โดยสารชาวไทย   รถแล่นเร็วและราบเรียบ และมีเสียงล้อรถบดรางดังเอี๊ยดๆได้บรรยากาศรถไฟฟ้าบีทีเอส  อนึ่ง บีทีเอสไม่ลดค่าโดยสารให้ผู้สูงอายุนะครับ จำหน่ายตั๋วเต็มราคา ราคาสูงพอควรครับ จากสำโรงถึงอนุสาวรีย์ 63 บาท ส่วนสายสีเหลืองนั่งข้ามฟากฝั่งของกทม.จากต้นทางถึงปลายทางค่าโดยสาร45 บาท ผู้สูงวัยลดเหลือ 23 บาท



           โดยรวมแล้วรถไฟสายสีเหลืองน่าใช้บริการครับ รถสะอาด กว้างขวาง แอร์เย็นสบาย เสียงไม่ดัง ถึงแม้ว่าจะนั่งไม่สบาย โยกเยกบ้าง สั่นบ้าง แต่ก็ช่วยร่นระยะเวลาเดินทางได้มากในแต่ละช่วงสถานีที่รถแล่นผ่านช่วงสั้นๆ และช่วยได้มากทีเดียวหากต้องนั่งรถผ่านย่านที่มีรถติด จากคนละฟากของกรุงเทพจากลาดพร้าวสู่สำโรงคงใช้เวลากว่า3ชั่วโมง ซึ่งถ้าขับรถผ่านแยกลำสาลี หรือย่านวัดศรีเอี่ยม จุดละเกือบชั่วโมงแล้วครับ  นอกจากนี้หากมีเวลาท่านอาจแวะเที่ยวแวะช้อปปิ้ง ตามบริเวณใกล้เคียงสถานีต่างๆ อาทิ สวนหลวงร.9 ซีคอนแสควร์ หรือชมทิวทัศน์ของกรุงเทพ2ข้างทางที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านก็สวยงามน่าดูชมครับ 






  
เชิญมาใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองครับ อีกไม่นานรถไฟฟ้าMonorail สายสีชมพูจะเปิดทดลองให้บริการ ผมจะไปทดลองใช้บริการแล้วนำมาบอกเล่าต่อนะครับ สวัสดีครับ




       

  

เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

           Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมือ...