เที่ยวเยอรมันด้วยตนเอง: การเดินทางจากMunich Airport เข้าเมืองMunich

       

เมือง Munich 

              หลังจากเตรียมพร้อมการเดินทางแล้ว วันนี้ถึงกำหนดบิน นำรถไปจอดที่ลานจอดรถระยะยาวแล้วนั่งShuttle bus มาที่อาคารผู้โดยสารขาออก Check in และผ่านตม.ซึ่งใช้เวลานานพอสมควรเพราะผู้โดยสารขาออกเนืองแน่นสนามบินสุวรรณภูมิ แต่ก็ยังพอมีเวลานั่ง     เลานจ์ของสายการบิน ทานอาหารรองท้อง ก่อนไปนั่งรอขึ้นเครื่องที่Gate  ขึ้นเครื่องการบินไทยราวเที่ยงคืนกว่าๆ   เครื่องออก 01.20 น.ของวันที่6 พ.ยช้ากว่ากำหนดเกือบชั่วโมง บินตรงสู่มิวนิคใช้เวลา11ชั่วโมง 55 นาทีนั่งนอนบนเครื่อง เจ้าจำปีโฉมใหม่ซึ่งสะดวกสบาย บริการที่ดีมีอาหารให้ทาน2มื้อ หลังขึ้นหนึ่งชั่วโมงและก่อนลงเครื่อง2 ชั่วโมง ทานอาหารเช้าเสร็จ ท้องฟ้าเริ่มสว่าง มองด้านล่างเห็นเทือกเขาที่ยอดเขาปกคลุุมด้วยหิมะขาวโพลนน่าดูชม สมกับที่อยากมาสัมผัสยุโรปช่วงอากาศหนาว  

เจ้าจำปีสีม่วงพาเรามาถึงสนามบินMunich ราว 7.10 น. ของวันที่6 พ.ย66 ช้ากว่ากำหนดเพียง15 นาที เวลาที่นี่ช้ากว่าไทย 6 ชั่วโมง(บ้านเราก็บ่ายโมง)  นับว่าเป็นเที่ยวบินที่เวลาเหมาะสมที่สุด บินก็ไม่นานเกินไป  ดีจังแป๊ปเดียว ขึ้นเครื่องตีหนึ่ง นั่งๆนอนๆ ตื่นมาเป็นเวลารุ่งเช้า ถึงมิวนิค พอดี

              เครื่องจอดที่Terminal 2  ออกจากงวงเทียบเครื่องบิน เดินตามผู้โดยสารอื่นไปตามทางขึ้นบันไดเลื่อนไป3 ทอดหรือ 3 ชั้นก็ถึงห้องโถงตรวจคนเข้าเมือง ไปเข้าคิวตรงNon Europian Residence  ผู้คนรอคิวเยอะพอควร แต่มีช่อง ตม.ราว6 ตู้  ทำให้รอไม่นานก็ถึงคิว คณะเรามากัน3คน ผมเลยชูภาษากาย3 นิ้วขอเข้าไปพร้อมกันเขาพยักหน้า เลยพากันเข้าหา ตม.พร้อมกันทีเดียว  พอยื่นพาสปอร์ต เจ้าหน้าที่ ตม. ถามว่าจะไปไหนบ้าง อยู่กี่วัน พร้อมขอดูตั๋วโดยสารขากลับ  ยื่นให้เขา  เจ้าหน้าที่ตรวจดูสักพัก ก็ประทับตราทีละคน เป็นเสร็จพิธี 

              จากนั้นลงมารับกระเป๋า ซึ่งต้องรอสักพักกว่ากระเป๋าใบแรกจะออกมา  นับว่าพิธีการตรวจคนเข้าเมืองใช้เวลาไม่นาน   บางแห่งกระเป๋าวนอยู่บนสายพานหลายรอบกว่าผู้โดยสารจะผ่านตม.มารับกระเป๋า  สรุปใช้เวลาตั้งแต่เครื่องจอดที่สายพานจนถึงรับกระเป๋า1ชั่วโมงพอดี 

              รับกระเป๋าเสร็จ แวะห้องน้ำ ซึ่งที่นี่กว้างใหญ่กว่าสุวรรณภูมิบ้านเรา  จากนั้นออกมาที่พักรอหน้าห้องน้ำ เปิดกระเป๋าใบใหญ่เอาเครื่องกันหนาวสวมใส่เตรียมสัมผัสกับความหนาวอุณหภูมิเลขตัวเดียว พร้อมแล้วลากกระเป๋าเดินผ่านพิธีการศุลกากรตรงช่องไม่มีสิ่งของที่สำแดง เจ้าหน้าที่มองผ่านๆแล้วให้เราออกประตูผ่านไปโดยไม่ตรวจอะไรเลย รู้งี้เอาหมูแดดเดียวมาสักกิโล(ยุโรปเขาห้ามนำเนื้อสัตว์เข้าประเทศ) แต่ถ้าเขาตรวจก็คงอ่วมเป็นแน่   


ห้องโถงสนามบินมิวนิค หลังจากผ่านศุลกากร
ออกจากgate ลากกระเป๋าเดินตามเครื่องหมายS เพื่อจะไปขึ้นรถไฟสายS1 หรือ S 8 ซึ่งอยู่อาคารตรงข้ามทางออก(ซึ่งทั้งสองสายไปยังสถานีรถไฟMunich Hbf เช่นเดียวกันเพียงแต่ไปวนซ้ายหรือขวาเท่านั้นเองครับ แต่ถ้าใครจะลงสถานีกลางทางก็ต้องศึกษาก่อนว่าสายใดวิ่งใกล้ที่สุด  ) หาซื้อตั๋ว Munich Card day ticket สำหรับ3 คน ตามที่ได้ศึกษาเส้นทางมา แต่ผิดคาดครับหาทางไปไม่เจอเสียเวลาอยู่สักพัก ต้องสอบถามเจ้าหน้าที่ที่Information Box จึงได้ทราบว่ารถไฟหยุดบริการช่วงนี้ 15 วันเนื่องจากปรับปรุงเส้นทางรถไฟ แต่มีรถบัสแทน(Replacement Bus)

เส้นทางรถไฟสายS1และS8 จากสนามบินสู่ สถานีรถไฟกลางมิวนิค

  เลยขอซื้อตั๋ว Munich  card  day Ticket(Group Ticket) กับเจ้าหน้าที่ ราคา 27.80 ยูโร เขาบอกใช้ได้ถึง5 คน แต่เรามีแค่ 3 คน คุ้มค่าครับและสามารถใช้นั่งรถไฟเข้าเมืองได้ และใช้นั่งรถสาธารณะทั้งรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถบัสและรถราง ในMunich ได้ตลอดวัน24 ชั่วโมง
 ในzone M- 5 นับว่าคุ้มค่ามาก หากเป็นตั๋วคนเดียวหรือMunich Card Single Ticket ราคา 19.6 ยูโร หรือถ้าซื้อตั๋วแบบเที่ยวเดียวจากสนามบินไปสถานีรถไฟ Munich HBF ราคา1 คน 11.5 ยูโร ดังนั้นการซื้อตั๋วMunich Card แบบกลุ่มถือว่าถูกและคุ้มค่ามากๆ

               เมื่อได้ตั๋วแล้วเขียนชื่อผู้โดยสารลงไปในตั๋วให้ครบทุกคน หากไม่เขียนหากเจอนายตรวจจะถูกปรับครับ  

Munich Day Ticket

ด้านหลังMunich Day Ticket

            จากนั้นจึงลากกระเป๋าขึ้นลิฟท์ไปชั้นบนเพื่อขึ้นรถบัสที่เขาจัดให้ทดแทนรถไฟ  รถบัสพาไปส่งที่สถานีรถไฟกลางทางห่างไป2 สถานี เพื่อให้ขึ้นรถไฟที่จะมารับผู้โดยสารที่สถานีนี้ไปยังเส้นทางประจำมุ่งสู่ Munich hbfต่อไป ลากกระเป๋าขึ้นลิฟท์เพื่อขึ้นสะพานลอยข้ามถนนที่สูงกว่าตึก2 ชั้น ไปลงที่สถานีรถไฟอีกฝั่งหนึ่ง ทุลักทุเลพอสมควร  จากนั้นรอขึ้นรถไฟสาย S 8 ผู้โดยสารรอรถไฟที่สถานีราว 150 คน รอสักพักรถไฟมาเทียบชานชาลาผู้โดยสารต่างก็รีบลากกระเป๋าขึ้นรถไฟ  รถไฟนี้ถ้ามีตั๋วแล้วขึ้นได้เลยเลือกที่นั่งตามชอบใจ เจ้าหน้าที่ค่อยมาตรวจตั๋วที่หลัง หากไม่มีจะถูกปรับหลายเท่าของราคาตั๋ว แต่วันนี้ไม่เจอเจ้าหน้าที่หรือนายตรวจเลย



          รถไฟวิ่งเร็วราว100 กม/ชม ผ่านทุ่งหญ้า พื้นที่เกษตรกรรมและป่าไม้ที่ต้นไม้เปลี่ยนสี มีบ้านเรือนอยู่ประปราย  รถไฟวิ่งใช้เวลาราว30นาทีก็มาถึงสถานี Munich HBF Central  Station ซึ่งทั้งรถไฟสาย S8 และ S 1 ชานชาลาจะอยู่ใต้ดิน ต้องลากกระเป๋าขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นมายังสถานีกลางมิวนิค (Munich HBF)  ซึ่งเป็นสถานีเก่าแก่ ห้องโถงก็ไม่ใหญ่โตมากนัก  มีร้านขายของ ร้านอาหาร ไม่มีSuper Market แต่มีชานชาลาราวๆ30 ชานชาลาในระดับบนดิน   สถานีนี้สามารถนั่งรถไฟต่อไปเมืองอื่นๆได้เลย หรือจะออกไปนอกสถานีต่อรถBus   รถราง(Tram )ได้เลย  

          เป็นอันว่าการเดินทางเข้าเมืองMunich วันนี้ถึงแม้ว่าเครื่องบินจะมาค่อนข้างตรงเวลา แต่เสียเวลาเดินทางเข้าเมืองนานพอสมควร เดิมคาดว่าจะถึงMunich hbfราว9 โมงก็กลายเป็น10โมง    

     เราจองที่พักใกล้ๆสถานีMunich HBF และศึกษาเส้นทางมาอย่างดี พอมาเจอของจริง กลับหลงทิศ หวังพึ่งInternet จากsim cardที่ซื้อมาจากเมืองไทยก็สัญญาณอ่อน  จึงลากกระเป๋าออกจากสถานีรถไฟทางประตูด้านขวามือ กว่าจะรู้ตัวว่าไม่ใช่ก็เดินไปได้กว่า500 เมตรแล้ว  จึงย้อนกลับมาตั้งต้นที่สถานี หาพิกัดใหม่ จนพบพิกัดที่ถูกต้องว่าต้องออกประตูทางด้านซ้ายมือ จึงลากกระเป๋าข้ามถนนเดินไปตามทางเท้าไปโรงแรม ถนนที่มิวนิคข้ามง่ายตามสัญญานไฟ รถหยุดทุกคัน ไม่ต้องห่วงว่าจะมีมอเตอร์ไซด์ซิ่งฝ่าไฟแดงหรือบนฟุตปาท

Tram ผ่านด้านข้างโรงแรมที่พัก


         โรงแรมที่เราพักอยู่ห่างจากสถานีราวๆ600 เมตรใช้เวลาเดิน8 นาทีก็ถึง  แต่ยังไม่ถึงเวลาเช๊คอิน จึงได้ฝากกระเป๋าไว้  แล้วออกไปเที่ยวเมืองMunich 


    

      


   

เตรียมตัวเที่ยวเยอรมัน ออสเตรีย และฝรั่งเศสด้วยตนเอง

 



  สวัสดีครับ ได้เวลาท่องเที่ยวอีกแล้วครับ คราวนี้ไปเที่ยวเยอรมัน ออสเตรียและฝรั่งเศสช่วงฤดูใบไม้ร่วง ทริปนี้เตรียมตัวไม่มากนัก ราว3 เดือนต่างจากทริปแรกที่ไปเที่ยวสวิส8 วันเตรียมตัวกว่า6 เดือน  ทริปนี้กะไปเที่ยวราว2 อาทิตย์ จึงขอเล่าเรื่องการเตรียมตัวสู่กันอ่านครับ

         เริ่มต้นหาflightบินที่โดนใจ ทั้งราคาและตารางบิน ตามวันไป-กลับที่เราต้องการปลายทางFrankfurt,Munichหรือ Paris มีทัังบินตรงและต่อเครื่อง โดยหาจากสายการบินโดยตรง และจากApp การจองการเดินทางต่างๆ  เลือกอยู่เกือบอาทิตย์ สุดท้ายลงตัวที่การบินไทยที่บินตรงสู่มิวนิค12 ชั่วโมง ส่วนขากลับได้flightบินจากปารีส ตรงสู่สุวรรณภูมิ ซึ่งการจองเที่ยวบินนี้ต้องจ่ายด้วยบัตรเครดิตทันที และไม่สามารถCancel ได้ เท่ากับว่าเราได้ตัดสินใจว่าไปแน่ๆตามวันเวลานั้นๆ ผมจองจากApp ของ…com เมื่อได้รับการConfirm แล้ว ไปเปิดดูจากwebsiteของการบินไทยอีกทีหนึ่งพบว่ามีชื่อเราอยู่ในระบบของสายการบิน จึงมั่นใจว่าไม่ถูกหลอก 



         จองเที่ยวบินเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องจองที่พัก จึงมากำหนดแผนการเดินทางว่าจะไปเที่ยวใหนบ้าง ซึ่งต้องวางแผนให้ดีจะได้ไม่ต้องแบกกระเป๋าไปมา  โดยSearch หาแหล่งเที่ยวและการเดินทางตามรีวิวต่างๆคร่าวๆ ได้แหล่งท่องเที่ยวที่ต้องการแล้ว จึงplot แหล่งท่องเที่ยวลงในแผนที่ เพื่อดูการเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวต่างๆว่าใกล้กับเมืองหลักใดบ้างแล้วจึงกำหนดที่พัก ได้ที่พักเป็นฐานเที่ยว3 เมืองคือ Munich 4 คืน เพื่อไปเที่ยวในรัฐBavaria และSalzberg ,Hallstattของออสเตรีย  จากนั้นจึงย้ายไปพักที่Frankfurt 3 คืนเพื่อเที่ยวเมืองรอบๆFrankfurt แล้ว จึงเดินทางโดยรถไฟไปParis นอนที่Paris 4 คืนจึงบินกลับไทยจากสนามบิน Charl degol 

        เมื่อได้เมืองที่จะพักแล้วจึงเริ่มหาจองที่พักตามAppการจองต่างๆ ซึ่งขั้นตอนนี้ใช้เวลาพอสมควร ดูทั้งตัวที่พัก ทำเล และราคารวมทั้งเงื่อนไขที่สามารถCancel  ได้เผื่อเปลี่ยนใจหรือกรณีวีซ่าไม่ผ่าน การเลือกที่พักต้องอ่านรีวิวต่างๆจากผู้ที่เคยพักประกอบการตัดสินใจด้วย  ซึ่งมีทั้งโรงแรม   Hostel ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ห้องน้ำรวมสำหรับท่านที่อยากประหยัด  มีบ้านเช่า หรือ Apartmentสำหรับท่านที่ต้องการพักหลายคน หรือต้องการห้องครัวไว้เตรียมอาหาร  ซึ่งในทริปนี้ ที่Munich และFrankfurt ผมได้โรงแรมที่มีอาหารเช้าบริการและอยู่ใกล้สถานีรถไฟ ซึ่งปลอดภัยครับ ส่วนที่Paris ได้ Apartment ที่มีเครื่องทำครัว อยู่โซน 7 ใกล้ๆกับ สถานีMontpranas ห่างไปเพียง1 สถานีMetro และไม่ไกลจากหอไอไฟล  จากนั้นทำการจองโดยใช้บัตรเครดิตซึ่งยังไม่ได้ตัดยอดเงินทันที เพราะเราจองแบบมีเงื่อนไขจะตัดเงินในบัตรเมื่อถึงวันที่กำหนด หากยกเลิกก่อนก็จะไม่ถูกตัดบัตรหรือหักเงิน



       เมื่อได้booking confirmทั้งFlight บิน และที่พักแล้ว เท่ากับว่าเราจะเดินทางแน่ๆเกือบ70 % ละ ต่อมาเราจะต้องขอVisa ซึ่งการขอVisa ต้องมีแผนการเดินทางที่ชัดเจนยื่นต่อเจ้าหน้าที่    จึงได้มาทำแผนการเดินทางตลอดทริปคร่าวๆ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันกลับ ระบุเมืองที่จะพัก และโรงแรมที่พัก แหล่งเที่ยว พาหนะหลักในการเดินทาง ซึ่งผมเดินทาง3 คน ใช้รถไฟเป็นพาหนะหลักครับ 

      ขั้นต่อไปเป็นการจองคิวขอVisa  Shengen  โดยเปิดwebของ VFS(Thailand) ทำการจองขอvisa ของเยอรมัน เพราะผมจะลงเครื่องที่เยอรมันและพักอยู่ที่เยอรมันนานกว่าที่ประเทศอื่น เมื่อกำหนดวัน เวลา ที่เราจะไปยื่นเอกสาร เมื่อทำการจองคิวในระบบแล้วจะได้อีเมล์ตอบรับจากทางVFS ยืนยันกำหนดวันเวลาที่จะไปยื่นเอกสารด้วยตนเองทุกคนที่จามจุรีสแควร์   

        จากนั้นเราก็กรอกใบคำขอVisa online ซึ่งเยอรมันจะต่างกับสวิสที่ผมเคยขอ  ของสวิสซึ่งเราสามารถLoad เอกสารมากรอกเอง หรือกรอกonlineแล้วprint ออกมาได้ แต่ของเยอรมันต้องกรอกonline แต่เพียงอย่างเดียว หากกรอกผิดจะดำเนินการต่อไม่ได้ ซึ่งแต่ละช่องที่กรอกเขาจะมีคำแนะนำให้ ผมใช้เวลากรอกหลายรอบเป็นเวลาเกือบอาทิตย์จนเกือบท้อ กรอกเท่าไรก็ดำเนินการต่อไม่ได้สักที จึงต้องอ่านอย่างละเอียดและกรอกใหัครบทุกรายการ ทั้งต้องอีเมล์ไปโรงแรมที่เราจองไว้ที่เยอรมัน ขอรายละเอียดถึงเลขที่จดทะเบียน สถานที่จดทะเบียนโรงแรม รวมทั้งชื่อผู้จัดการหรือผู้ที่ติดต่อได้และอีเมล์ของโรงแรม

         เมื่อได้แล้ว กรอกทุกอย่างลงไปจนครบทุกช่อง ระบบจึงดำเนินการต่อได้ และจะดำเนินการประมวลใบสมัครของเราเป็นในรูปแบบของสถานทูต(ซึ่งรูปแบบ และการจัดเรียงเนื้อหาไม่เหมือนกับที่เรากรอกonlineเลย) เป็นfile PDF ซึ่งเราต้องprint File นี้ไว้เพื่อนำไปยื่นที่VFS ในวันที่นัดหมาย 

              


   ดังนั้นท่านที่จะขอVisa ของเยอรมันควรเตรียมข้อมูลให้พร้อม และเผื่อวันนัดหมายไว้สำหรับการกรอกคำขอvisaด้วยนะครับ ผมเผื่อเวลากรอกเอกสารคำขอรวมทั้งเตรียมการเอกสารต่างๆไว้3 อาทิตย์ก่อนวันนัดหมายยื่นเอกสาร  ส่วนเอกสารต่างๆประกอบการยื่นคำขอ ในหนังสือตอบรับการจองจะมีรายการออกมาว่าต้องใช้อะไรบ้าง ต้องจัดเตรียมให้พร้อมครับ เมื่อถึงวันนัดหมายทุกคนต้องไปยื่นเอกสารด้วยตนเอง ตามเวลาที่กำหนด เจ้าหน้าที่จะตรวจเอกสารต่างๆ เมื่อครบแล้วต้องมีการScan ลายนิ้วมือ และถ่ายรูปจากcctv ด้วยครับ จากนั้นก็จ่ายค่าธรรมเนียมการจัดทำVisa พร้อมรับหนังสือเพื่อรับpassport คืน ซึ่งจะไปรับด้วยตนเองหรือส่งไปรษณีย์ก็ได้  เจ้าหน้าที่แจ้งว่าอย่างน้อย15 วันจึงจะได้Passportคืน ซึ่งจะผ่านหรือไม่ผ่าน ก็ต้องแล้วแต่สถานทูตครับ


                  ผมรออยู่ 18 วันก็ได้รับSMS ให้ไปรับpassport คืน ซึ่งก็ผ่านครับ ได้แบบMultiple ระยะ 12 วัน ระบุวันแรกและวันสุดท้ายให้ มีกำหนด 1 เดือนครับ ผมคุยกับเพื่อนบางท่านได้นานกว่านี้ครับ ทั้งนี้คงแล้วแต่เทคนิคการเขียนแผนการเดินทางและรายละเอียดอื่นประกอบครับ ผมได้แค่นี้ก็โล่งใจครับ อย่างน้อยค่าจองตั๋วเครื่องบินก็ไม่สูญเปล่า  จึงเดินหน้าเตรียมการต่อไปครับ




           คราวนี้เตรียมรายละเอียดในการเดินทางแต่ละจุด จะเดินทางอย่างไร ใช้ตั๋วแบบใหนจึงจะเหมาะสม สะดวกและถูกที่สุด โดยผมศึกษาจากWeb และรีวิวต่างๆครับ  ได้ข้อสรุปคือ1. เที่ยวมิวนิค ใช้ Munich day Card ซื้อที่สนามบินมิวนิค 2.  เที่ยวในเขตBavaria ใช้ Bavaria Card ซึ่งมีข้อจำกัดนิดหน่อยที่ต้องใช้ตั้งแต่9.00  น. เป็นต้นไปจนถึงเที่ยงคืน บัตรนี้ซื้อตั๋วที่สถานีรถไฟมิวนิค และ3. ที่เหลือในเยอรมันอีก 5 วันใช้ German Eurail Pass ซึ่งใช้ได้เฉพาะรถไฟ ซื้อตั๋วOnline จาก Eurail โดยตรง 4.  ส่วนรถไฟจากFrankfurt ไปParis ซื้อตั๋วOnline ซึ่งผมซื้อล่วงหน้าเกือบ2 เดือน ได้ราคาถูกมากแถมได้First Class ด้วย หากซื้อใกล้วันเดินทางราคาแพงมากชั้น2 ยังแพงกว่าFirst Class ที่ผมจองไว้เลยครับ 5.  ที่Paris ใช้ Weekly Navigo Ticket  ซื้อที่สถานีMetro ที่ปารีสครับ 

             สำหรับที่พักที่จองไว้ ก็หมั่นเปิดดู หากเจอที่อื่นที่ถูกใจ หรือที่เดิมราคาถูกกว่าก็ทำการจองใหม่เลยครับ เมื่อไดรับการConfirmแล้วจึงค่อยยกเลิกของเดิม



             เป็นอันว่าทุกอย่างพร้อมสำหรับการเดินทางแล้วครับ คงเหลือเพียงเตรียมเสื้อผ้าและกระเป๋าเดินทาง ซึ่งกระเป๋าเดินทางควรเป็นล้อขนาดใหญ่ครับ ถนนบางแห่งปูด้วยหิน ขรุขระ ล้อใหญ่ ลากจะสะดวกกว่าล้อเล็กครับ อนึ่งการเที่ยวเองไม่สะดวกเหมือนกับไปทัวร์ที่เพียงแค่ลากกระเป๋าออกจากสนามบินไปที่รถBusของคณะทัวร์นะครับ  เที่ยวเองต้องมั่นใจว่าเรามีสุขภาพแข็งแรงพอที่จะลาก และยกกระเป๋าขนาด 20-25 กิโลกรัม ได้เอง ทั้งลากตามทางเท้า ถนน ยกขึ้น- ลงบันได ขึ้น-ลง รถไฟ รถราง รถบัส ไป-กลับ ระหว่างสนามบิน สถานีรถไฟ และที่พัก 

         


         ส่วนเงินนั้นทั้งเยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรีย ใช้ยูโร ใช้ได้ทั้งเงินสด บัตรเครดิต Travel Card สำหรับผมแลกเงินสดไปไม่เยอะครับ ส่วนใหญ่จะใช้ Travel Card ซึ่งสะดวกและปลอดภัยครับ ใช้ได้ทั้งร้านเล็กร้านน้อย Taxi  ซื้อตั๋วรถที่ตู้อัตโนมัติ ร้านอาหาร และโรงแรมครับ 

      หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อยครับ  เที่ยวเองไม่ยากครับ หากวางแผน เตรียมการดีๆทุกอย่างราบรื่นครับ  ลองดูครับ 



         

        

เที่ยวสวนอินทผาลัมใกล้ กรุงเทพ Date Palm Farm near Bangkok

 




            ท่านที่ชอบชมสวนผลไม้ วันนี้ผมจะพาไปเที่ยวชมสวนอินทผาลัม ใกล้กรุงเทพ ไม่ต้องไปไกลถึงต่างจังหวัด ชื่อสวนอินทผลัมปรีชา ตั้งอยู่ที่บางบัวทองนี่เอง แต่ไม่มีรถประจำทางผ่านนะครับ ต้องขับรถไปเอง ผมขับรถตามเส้นทางหลวงหมายเลข 345 มุ่งหน้าไปสุพรรณบุรี พอถึงบางบัวทองข้ามสะพานลอยไปเชื่อมกับทางหลวงหมายเลข3030 บางบัวทอง-สุพรรณบุรี พอลงจากสะพาน ให้ขับเลนซ้ายตรง มาราว100 เมตร ก่อนถึงปั้มแก๊ส LPG ปตท ซึ่งเป็นปั้มแรกบนเส้นทางสายนี้ที่มุ่งหน้าสุพรรณบุรี  มีถนนเล็กๆทางซ้ายมือ เลี้ยวซ้ายขับตรงไปเรื่อยๆผ่านหมู่บ้าน ทุ่งนา และหมู่บ้านจัดสรรที่ผันมาจากทุ่งนา  ตรงไป ราวกิโลเมตรเศษ ลอดผ่านทางยกระดับถนนชัยพฤกษ์ เล็กน้อย จะเห็นป้ายสวนอินทผลัมปรีชา ร้านเกาเหลาอากง อยู่ทางซ้ายมือ  เราขับรถไปตามถนนคอนกรีตที่ประดับหินกรวดสีสวยสะดุดตา ราว 300 เมตรก็ถึงฟาร์ม


        

  ที่ฟาร์มมีที่จอดรถทั้งกลางแจ้งและมีหลังคา มีพนักงานโบกรถ จัดการที่จอดรถให้ครับ  วันนี้วันหยุดนักท่องเที่ยวเยอะมาก รถเต็มลานจอดเลยครับ จอดรถเสร็จเดินชมสวนได้เลยครับ ชมฟรี สวนนี้ไม่เก็บค่าชม ที่สวนมีจุดเช็คอินหลายจุด แต่ละจุดสวยงามน่าถ่ายรูป น่านั่งเล่น มีทางเดินที่มีต้นกุหลาบทั้งดอกจริงดอกปลอมสีสวยสดทั้งข้างทาง ทั้งมีร่มสีสวยสดใสวางต่อกันเป็นหลังคายาวไปตลอดทาง   ข้างทางเดินเป็นปาล์มต้นเล็ก  และปาล์มที่ติดลูกแล้ว เราสามารถเดินเข้าไปในสวนอินทผลัมได้เลยครับ 



 สวนสะอาดโล่ง มีหญ้าต้นเล็กๆเบาบาง สวนนี้มีพื้นที่ร้อยกว่าไร่ ตั้งมาราว10 ปี ปัจจุบันมีต้นอินทผาลัมพันกว่าต้นทั้งที่ให้ผลแล้วและต้นเล็ก  เราเข้าชมสวนอินทผลัมที่ติดผลอยู่ มีทั้งพันธุ์สีแดง สีเหลือง และสีส้ม แต่ที่เราเห็นมีเพียงเหลืองและ แดง ส่วนสีส้มไม่มีทราบจากคนสวนบอกว่าหมดรุ่นแล้ว  ส่วนต้นที่ออกผลแล้วยังไม่แก่ดีก็จะมีถุงกระดาษคลุมช่อไว้ นักท่องเที่ยวต่างเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปกับต้นอินทผลัม แต่ละต้นมีผลดกหลายทะลาย สีสดสวย จับต้องได้ครับแต่ห้ามเด็ด




 อินทผลัมที่นี่หรือที่ใหนๆในเมืองไทยเป็นแบบกินผลสดครับ บ้านเราปลูกแบบผลที่เก็บแห้งแบบที่ขายเป็นแพคในท้องตลาดไม่ได้ครับ มาที่นี้ได้ความรู้ว่าปาล์มกินสดมีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์บาฮี สีเหลือง สีแดง  พันธุ์โคไนซี สีแดง เป็นต้น 

        ชมสวนอินทผาลัม หนำใจแล้ว ก็เดินไปที่ซุ้มร้านค้าเลยครับ ที่นี้ มีร้านขายผลปาล์มสดจากฟาร์มต่างๆมาเปิดขายหลายร้าน มีผลปาล์มให้ชิม เดินชิมแต่ละร้าน รสชาติหวาน มีฝาดบ้าง แล้วแต่สายพันธุ์ แต่กรอบอร่อยทุกพันธุ์เลยครับ ถูกใจซื้อกลับบ้านได้ครับราคาไม่แพง ถุงละ200 ขั้นต่ำ มีราวๆ 6 ช่อครับ  จากการสังเกตุนักท่องเที่ยวแต่ละคนต่างซื้อติดมือกลับบ้าน นับว่ากลยุทธของฟาร์มนี้ได้ผลครับ ไม่เก็บค่าเข้าชม แต่ได้จากคนมาเยอะและซื้อผลอินทผาลัมกลับบ้าน





  นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟในห้องแอร์เย็นฉ่ำ มีทั้งกาแฟหลากหลายรสและน้ำอินทผาลัม อาโวคาโดปั่นใสน้ำเชื่อมอินทผลัม หวาน เย็นชื่นใจ ส่วนท่านใดที่สนใจกล้าพันธุ์ที่นี่ก็มีขายครับ ยุคนี้เป็นพันธ์ุเนื้อเยื่อ ไม่ต่อวกังวลเรื่องการกลายพันธุ์m แถมยังเจริญเติบโตได้ดีอีกด้วย  


    ชมฟาร์ม ซื้อผลอินทผลัม  และดื่มน้ำปั่นแล้ว ขับรถออกจากฟาร์ม ก็ต้องแวะร้านเกาหลาอากง เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่  เข้าใจว่าร้านนี้คงเป็นเจ้าของหรือเครือเดียวกันกับสวนอิทผลัมปรีชา ร้านนี้ใหญ่โตมากเป็นร้านเปิดหลังคาสูงไม่ติดแอร์   ตกแต่งร้าน ประดับประดาด้วยโคม ดอกไม้สีสรรสวยงาม  โต๊ะนั่งไม้ ราวๆ 100 กว่าโต๊ะ ห้องครัวห้องเตรียมอาหารเปิดโล่งโชว์ลูกค้า






  คนเยอะมากต้องใช้บริการบัตรคิว  บริการเป็นระบบดีครับ อาหารหลากหลาย ทั้งเมนูก๋วยเตี๋ยว ผัดไทย เมนูข้าว เมนูยำ  และที่ขึ้นชื่อคือ เกาเหลาหมูตุ๋น ตามชื่อร้านเกาเหลาอากง


  ผมจึงสั่งเกาเหลามาทาน รอไม่นาน ได้เกาเหลาชามใหญ่พอควร  ปรุงรสนิดหน่อย รสชาติอร่อยมากครับ มิน่าคนเต็มร้าน  ท่านใดสนใจแวะไปชิมได้ครับ ได้บุญด้วยครับ ทางร้านนำเงินรายได้หลังหักค่าใช้จ่าย 10 % ให้ศิริราชมูลนิธิ “เพื่อผู้ป่วยยากไร้”   วันหยุดนี้ลองไปเที่ยวสวนอิทผาลัมและชิมเกาเหลากันครับ




google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0

เที่ยว Georgia กับทัวร์ Ep.2 ชมมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ Tabilisi หนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0







   สนามบิน Tbilisi อยู่ห่างเมืองราวๆ16 กิโลเมตร หากท่านใดมาเองจะมีรถShuttle busเข้าเมืองราคาราวๆ 560 บาท   ส่วนรถบัสของคณะทัวร์พาพวกเราออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปทางเมืองTabilisi ตรงไปยัง The Chronicles of Georgia  หรืออนุสรณ์สถานประวัติศาสตร์ของจอร์เจียที่อยู่บนเนินเขาKenisiตอนเหนือของเมืองTbilisi 

      เมื่อไปถึงเราจะเห็นกลุ่มเสาขนาดใหญ่สีดำ คล้ายสโตนเฮนส์ที่อังกฤษ ตั้งอยู่บนเนิน เราต้องเดินขึ้นไปตามบันไดสูงพอควร บนยอดเนินเป็นลานที่ปูด้วยหินมีเสาขนาดยักษ์ใหญ่ขนาดสิบคนโอบ สูง 35 เมตร 16 ต้น เป็นเสาที่ทำด้วยหิน ทองแดงและทองสัมฤทธิ์ แต่ละเสาบันทึกปฎิมากรรมเรื่องราวประวัติศาตร์ของจอร์เจีย และเรื่องราวในพระคัมภีร์  ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก  หากใครสนใจประวัติศาสตร์จะเพลิดเพลินยิ่ง ไกด์ยุคนี้ไม่ต้องบรรยายมากนักเพราะลูกทัวร์สนใจการถ่ายภาพมากกว่า จึงเน้นบริการถ่ายภาพให้ลูกทัวร์  



 


จากนั้นเราเดินไปรอบๆพบว่าทางด้านหลังมองลงไปจะเห็นทะเลสาบTbilisi มีน้ำสีฟ้าใสสวยงาม เป็นแหล่งน้ำสำคัญของชาวเมืองนี้  ส่วนอีกฟากหนึ่งทางด้านหน้าอนุสรณ์สถานสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองTbillsi ที่ตึกสูงใหญ่ตระการตา อยู่ด้านล่าง เป็นจุดชมวิวเมืองที่ดีจุดหนึ่ง  เดินถ่ายรูปกันสักพักจึงขึ้นรถบัสไปเที่ยวต่อ






    
รถบัสพาเรามุ่งหน้าไปยังมหาวิหารศักดิ์สิทธิ The Holy Trinity Cathedral  of Tabilisi ซึ่งห่างออกไปราว12กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง มหาวิหารนี้มีรูปทรงสูงตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของจอเจียร์ มีโดมใหญ่และมีโดมเล็กอีก4 โดมมีความสูงลดหลั่นลงมา มองดูสวยงามมาก ที่นี่เป็นโบสถ์หลักของคริสต์จักรนิกายออโทด๊อกซ์ของจอร์เจีย สร้างขึ้นเมื่อปีพ. 2538  ช่วงที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต เป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดของจอร์เจีย ทั้งยังเป็นหนึ่งในมหาวิหารของคริสตร์จักร์นิกายออร์โทด๊อกซ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และถือเป็นสัญลักษณ์ของจอร์เจียสมัยใหม่


  การเข้าไปในมหาวิหารนี้นี้ผู้หญิงต้องคลุมศรีษะ และแต่งกายให้มิดชิดคลุมเข่า  ในมหาวิหารพื้นปูด้วยหินอ่อน วิหารนี้กว้างขวางกว่า3,000 ตารางเมตร จุคนได้ถึง10,000 คน ผนังประดับด้วยโมเสส และภาพวาดสีน้ำ  ตรงโดมใหญ่มีหลังคาสูงโปร่ง ที่ผนังเป็นภาพของพระเยซู  มีชาวคริสต์นั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่หนาตา ส่วนนักท่องเที่ยวต้องเดินชมอย่างเงียบๆ  ทราบวิหารนี้มีห้องใต้ดินด้วยแต่เขาไม่เปิดให้เราเข้าชม 



 
เราอธิษฐานขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า แล้วออกมาเดินชมความงามรอบวิหาร ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ทำให้วิหารดูเด่นสง่างามมาก ด้านหน้ามหาวิหารยังมีสวนดอกไม้หลากสีและดงต้นมะกอกสีเขียวสด เป็นมุมพักผ่อนและถ่ายรูปด้วย    มหาวิหารนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ห้ามพลาดหากมาเที่ยวจอร์เจียครับ



  




       

          





เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

           Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมือ...