เที่ยว Georgia กับทัวร์ Ep.2 ชมมหาวิหารศักดิ์สิทธิ์ Tabilisi หนึ่งในมหาวิหารที่ใหญ่ที่สุดของโลก

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0







   สนามบิน Tbilisi อยู่ห่างเมืองราวๆ16 กิโลเมตร หากท่านใดมาเองจะมีรถShuttle busเข้าเมืองราคาราวๆ 560 บาท   ส่วนรถบัสของคณะทัวร์พาพวกเราออกจากสนามบินมุ่งหน้าไปทางเมืองTabilisi ตรงไปยัง The Chronicles of Georgia  หรืออนุสรณ์สถานประวัติศาสตร์ของจอร์เจียที่อยู่บนเนินเขาKenisiตอนเหนือของเมืองTbilisi 

      เมื่อไปถึงเราจะเห็นกลุ่มเสาขนาดใหญ่สีดำ คล้ายสโตนเฮนส์ที่อังกฤษ ตั้งอยู่บนเนิน เราต้องเดินขึ้นไปตามบันไดสูงพอควร บนยอดเนินเป็นลานที่ปูด้วยหินมีเสาขนาดยักษ์ใหญ่ขนาดสิบคนโอบ สูง 35 เมตร 16 ต้น เป็นเสาที่ทำด้วยหิน ทองแดงและทองสัมฤทธิ์ แต่ละเสาบันทึกปฎิมากรรมเรื่องราวประวัติศาตร์ของจอร์เจีย และเรื่องราวในพระคัมภีร์  ดูยิ่งใหญ่อลังการมาก  หากใครสนใจประวัติศาสตร์จะเพลิดเพลินยิ่ง ไกด์ยุคนี้ไม่ต้องบรรยายมากนักเพราะลูกทัวร์สนใจการถ่ายภาพมากกว่า จึงเน้นบริการถ่ายภาพให้ลูกทัวร์  



 


จากนั้นเราเดินไปรอบๆพบว่าทางด้านหลังมองลงไปจะเห็นทะเลสาบTbilisi มีน้ำสีฟ้าใสสวยงาม เป็นแหล่งน้ำสำคัญของชาวเมืองนี้  ส่วนอีกฟากหนึ่งทางด้านหน้าอนุสรณ์สถานสามารถมองเห็นทิวทัศน์เมืองTbillsi ที่ตึกสูงใหญ่ตระการตา อยู่ด้านล่าง เป็นจุดชมวิวเมืองที่ดีจุดหนึ่ง  เดินถ่ายรูปกันสักพักจึงขึ้นรถบัสไปเที่ยวต่อ






    
รถบัสพาเรามุ่งหน้าไปยังมหาวิหารศักดิ์สิทธิ The Holy Trinity Cathedral  of Tabilisi ซึ่งห่างออกไปราว12กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางครึ่งชั่วโมง มหาวิหารนี้มีรูปทรงสูงตามสถาปัตยกรรมดั้งเดิมของจอเจียร์ มีโดมใหญ่และมีโดมเล็กอีก4 โดมมีความสูงลดหลั่นลงมา มองดูสวยงามมาก ที่นี่เป็นโบสถ์หลักของคริสต์จักรนิกายออโทด๊อกซ์ของจอร์เจีย สร้างขึ้นเมื่อปีพ. 2538  ช่วงที่แยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต เป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดของจอร์เจีย ทั้งยังเป็นหนึ่งในมหาวิหารของคริสตร์จักร์นิกายออร์โทด๊อกซ์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก และถือเป็นสัญลักษณ์ของจอร์เจียสมัยใหม่


  การเข้าไปในมหาวิหารนี้นี้ผู้หญิงต้องคลุมศรีษะ และแต่งกายให้มิดชิดคลุมเข่า  ในมหาวิหารพื้นปูด้วยหินอ่อน วิหารนี้กว้างขวางกว่า3,000 ตารางเมตร จุคนได้ถึง10,000 คน ผนังประดับด้วยโมเสส และภาพวาดสีน้ำ  ตรงโดมใหญ่มีหลังคาสูงโปร่ง ที่ผนังเป็นภาพของพระเยซู  มีชาวคริสต์นั่งสวดมนต์ภาวนาอยู่หนาตา ส่วนนักท่องเที่ยวต้องเดินชมอย่างเงียบๆ  ทราบวิหารนี้มีห้องใต้ดินด้วยแต่เขาไม่เปิดให้เราเข้าชม 



 
เราอธิษฐานขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า แล้วออกมาเดินชมความงามรอบวิหาร ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็นท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ทำให้วิหารดูเด่นสง่างามมาก ด้านหน้ามหาวิหารยังมีสวนดอกไม้หลากสีและดงต้นมะกอกสีเขียวสด เป็นมุมพักผ่อนและถ่ายรูปด้วย    มหาวิหารนี้เป็นหนึ่งในสิ่งที่ห้ามพลาดหากมาเที่ยวจอร์เจียครับ



  




       

          





พานั่งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง Yellow Line ของ MRT EBM

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0


   รถไฟสายสีเหลือง น้องเก๊กฮวยเพิ่งเปิดใช้ตลอดเส้นทาง 23 สถานีระยะทาง34 กิโลเมตร  ในเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบเมื่อกลางมิถุนายนที่ผ่านมา วันนี้มีโอกาสได้ไปใช้บริการจากต้นทางสถานีลาดพร้าว ถึงสถานีปลายทางที่สำโรง จึงขอนำมาเล่าสู่กันครับพอสังเขปครับ

     สถานีต้นทาง สถานีลาดพร้าว ตั้งอยู่ติดกับอาคารจอดแล้วจรของMRT ตรงหัวมุมสี่แยกที่ตัดกันระหว่างถนนรัชดาภิเษกกับถนนลาดพร้าว ครับ 


       การเดินทางไปสถานีลาดพร้าว ค่อนข้างไม่สะดวกสบายนักครับ  หากมาจากBTS สายสีเขียวต้องลงที่สถานีห้าแยกลาดพร้าว ตรงเซ็นทรัลลาดพร้าวนั่นแหละครับ จากนั้นต้องเดินบนสกายวอล์คลงไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน MRT สถานีพหลโยธินที่ห่างไปราว 60  เมตร จากสถานีMRTนี้ นั่งรถไฟใต้ดินสายสีน้ำเงิน ที่ชานชาลามุ่งหน้าห้วยขวาง นั่งไปเพียงสถานีเดียว ลงที่สถานีลาดพร้าว


   จากนั้นจึงเดินออกไปยังอาคารจอดแล้วจรของMRT เดินตามทางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาตามป้ายบอกทางไปเรื่อยๆจนไปถึงทางขึ้นบันไดเลื่อนไปสถานีสายสีเหลืองที่อยู่สูงข้างบน บางช่วงก็มีลิฟท์ไว้บริการครับ ช่วงจากห้างเซ็นทรัลถึงสถานีลาดพร้าว เดินเยอะหน่อยทั้งรอและนั่งรถไฟใต้ดิน ใช้เวลาราวครึ่งชั่วโมงครับ  แต่หากท่านใดนำรถยนต์ส่วนตัวมา ให้นำมาจอดที่อาคารจอดแล้วจรซึ่งคิดค่าบริการจอด จากนั้นเดินตามทางเชื่อมไปสถานีสายสีเหลืองได้เลยครับ


       
บริเวณสถานีจะมีเครื่องจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติอยู่ 3 ตู้ และมีห้องจำหน่ายบัตรโดยสารที่มีพนักงานจำหน่าย ผมจึงเดินไปที่ห้องจำหน่ายพร้อมยื่นบัตรเบ่ง บัตรประชาชนครับ  สูงวัย60 ขวบขึ้นไปได้ลดราคา ค่าตั๋วจากสถานีลาดพร้าวถึง สถานีสำโรง 23 บาท จากราคาเต็ม 45 บาท 



  นอกจากนี้หากใครมีบัตรเครดิต EMV ทีมีสัญญลัษณ์wifi สามารถนำมาใช้ชำระค่าโดยสารได้ครับ


ได้บัตรโดยสารพลาสติกแล้วสอดบัตรผ่านเข้าไปข้างในแล้วขึ้นบันไดเลื่อนไปอีกชั้นจึงจะถึงชานชาลาครับ
 บริเวณชานชาลามีกระจกกั้นขอบรางรถไฟไว้ตลอดชานชาลาครับ ประตูจะเปิดเมื่อรถไฟมาเท่านั้นครับ ไม่ต้องกลัวหล่นลงไป ที่ชานชาลาวันนี้เป็นวันอาคารราว10 โมงมี ผู้โดยสารราว10 คนครับ ผมเดินไปยืนรอตรงด้านซ้ายสุดตรงประตูแรกเลยครับเพื่อรอขึ้นตู้หน้าสุดของขบวนซึ่งมีอยู่ 4 ตู้ 




      เมื่อรถจอดเทียบชานชาลา ประตูเปิดให้เข้า พบตู้โดยสารค่อนข้างกว้างมีที่ยืนเป็นส่วนใหญ่ มีเก้าอี้นั่งสีเหลืองข้างละตัวทั้งสองฝั่งและด้านหลังของตู้  ส่วนด้านหน้าหัวรถติดกับกระจกหน้าบานใหญ่เป็นคอนโซลขนาดใหญ่มีที่นั่ง2 ที่ หน้ารถไม่มีแผงควบคุมหรือพนักงานขับรถ มีเพียงเจ้าหน้าที่ยืนกำกับอยู่คอยแก้ไขสถานการณ์หากเกิดเหตุฉุกเฉิน   รถไฟสายสีเหลืองเป็นรถไฟที่ไม่มีคนขับ ควบคุมการขับเคลื่อน เปิด-ปิดประตูรถจากศูนย์ควบคุม   รถไฟสายนี้เป็นรถMono Rail คือ รถเคลื่อนที่บนรางเดียว เหมือนที่เคยเห็นในสวนสนุก



  ยืนมองตรงคอนโซลด้านหน้ารถจะเห็นรางรถไฟเป็นรางปูนกว้างราวๆ1ฟุต  รางขนานกันไประยะห่างพอควรเพื่อรถวิ่งสวนกันคนละราง  

     ขบวนรถแล่นไปตามรางปูนลอยฟ้า ความเร็วซึ่งผมประมาณเองว่าราวๆ50-60กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะแล่นไม่ราบเรียบนัก มีความสั่นสะเทือนขึ้นลง พอควร  ราวๆกับนั่งรถที่โชคอัพแข็งๆบนผิวจราจรที่พื้นผิวขรุขระ ต่างจากรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือรถไฟสายอื่นๆที่ไม่มีการสั่นสะเทือนแบบนี้  ไม่ทราบว่าสาเหตุจากราง หรือล้อยางที่แข็งเกินไป หรือจากระบบของตัวรถเอง  แต่รถสายสีเหลืองมีเสียงดังเบากว่านิดหน่อยและไม่มีเสียงล้อรถบดสีกับรางรถไฟ รถสายนี้วิ่งไปอยู่เหนือถนนลาดพร้าวจนถึงบางกะปิ แล้วเลี้ยวไปทางลำสาลี ไปทางศรีกรีฑา เรื่อยไปทางหัวหมาก ที่สถานีหัวหมากเป็นสถานีเชื่อมต่อรถไฟสายแอร์พอร์ตลิงก์ได้ แต่ดูแล้วแต่ละสถานีทั้งสองอยู่สูงและมีระยะทางห่างจากจุดตัดของเส้นทางทั้ง2สาย ราว100 เมตรไม่มีSkywalkเชื่อม ไม่แน่ใจว่าพื้นล่างมีทางเชื่อมโดยเฉพาะหรือไม่ หากไม่มีถ้าลากกระเป๋าใบใหญ่ไปมาระหว่างสถานีนี้คงทุลักทุเลน่าดูคงได้เปลี่ยนล้อกระเป๋าหรือไม่ก็เปลี่ยนคนลากกระเป๋าเป็นแน่ 



สถานีแอร์พอร์ตลิงค์หัวหมาก

 จากสถานีหัวหมากรถไฟจะมุ่งหน้าไปทางศรีนครินทร์ ผ่านซีคอนแสควร์ ที่สถานีสวนหลวง .9 สถานีอยู่ห่างจากสวนหลวงพอควร กลางวันแดดร้อนหากไปคงต้องนั่งมอไซด์  ส่วนผมแวะลงสถานีสวนหลวง .9 (ใช้เวลาจากลาดพร้าวถึงสถานีนี้ 40 นาที)



แล้วไป
ทานก๋วยเตี๋ยวที่ตลาดสดในห้างพาราไดซ์ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุง ช่วงนี้มีพ่อค้าพนักงานมากกว่าลูกค้า 


 
จากนั้นเดินกลับมาที่สถานีสวนหลวงร. 9 ซื้อตั๋วใหม่ เพื่อนั่งต่อไปยังปลายทางที่สถานีสำโรง

ช่วงก่อนเที่ยงผู้โดยสารก็ยังเบาบางเช่นเดิม 
 รถไฟแล่นผ่านไปยังสถานีศรีอุดม  ผ่านสถานีศรีเอี่ยมที่ขึ้นชื่อเรื่องรถติดหนักบริเวณนี้  แล้วค่อยๆไต่ระดับขึ้นไปยังสถานีศรีลาซาลซึ่งเป็นสถานีรถไฟฟ้าที่สูงที่สุดในประเทศไทยซึ่งสูง 24.4 เมตร ที่ยกระดับข้ามแยกศรีลาซาลที่มีถนนยกระดับข้ามแยก   จากนั้นลดระดับสู่ระดับปกติไปยังสถานีศรีอีกศรี คือ ศรีแบริ่ง ศรีด่าน ศรีเทพา แล้วถึงสถานีทิพวัล  ไปสิ้นสุดที่สถานีสำโรง  รถไฟสายสีเหลืองมีสถานีที่ขึ้นด้วยศรี รวม  สถานีจากทั้งหมด 23 สถานี 

       ระยะเวลาเดินทาง หากรวมระยะเวลาจากสถานีต้นทางที่ลาดพร้าวจนถึงสถานีสำโรง จะใช้เวลาประมาณ1ชั่วโมง5 นาที  รถแล่นไม่เร็วนักเฉลี่ยแล้วสถานีละนาที 23 สถานีก็เกินชั่วโมงแล้วครับ ไม่นับรวมบางสถานีที่ต้องหยุดนานหน่อยเพื่อบริการผู้ใช้รถเข็นที่พนักงานต้องนำแผ่นเหล็กมาพาดเชื่อมรถกับชานชาลา แล้วเข็นรถเข้าหรือออกเรียบร้อยแล้ว จึงวิทยุแจ้งให้สถานีควบคุมปิดประตูรถ  จาก  การสังเกตุรถไฟสายสีเหลืองในช่วงกลางวันผู้โดยสารยังเบาบางครับแต่ละสถานีมีคนขึ้นลงสิบกว่าคน ส่วนเช้า-เย็น คงมีผู้โดยสารใช้เยอะกว่านี้ครับ 


            สถานีสำโรง เป็นสถานีที่บรรจบกับรถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว มีสกายวอล์กเชื่อมต่อกันระยะทางราว50 เมตรสามารถต่อรถไฟฟ้าบีทีเอสที่สถานีสำโรง ไปทางสมุทรปราการหรือเข้าเมืองไปทางอโศก  สยาม อนุสาวรีย์ ต่อไปจนถึง สะพานใหม่ คูคตได้ครับ










  ผมนั่งรถไฟสายสีเขียวจากสถานีสำโรง เข้าเมืองไปลงที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิใช้เวลาเพียง30 นาทีก็ถึง ช่วงเที่ยงกว่าๆผู้โดยสารเต็มทุกตู้ครับผู้มาใช้บริการเยอะทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้โดยสารชาวไทย   รถแล่นเร็วและราบเรียบ และมีเสียงล้อรถบดรางดังเอี๊ยดๆได้บรรยากาศรถไฟฟ้าบีทีเอส  อนึ่ง บีทีเอสไม่ลดค่าโดยสารให้ผู้สูงอายุนะครับ จำหน่ายตั๋วเต็มราคา ราคาสูงพอควรครับ จากสำโรงถึงอนุสาวรีย์ 63 บาท ส่วนสายสีเหลืองนั่งข้ามฟากฝั่งของกทม.จากต้นทางถึงปลายทางค่าโดยสาร45 บาท ผู้สูงวัยลดเหลือ 23 บาท



           โดยรวมแล้วรถไฟสายสีเหลืองน่าใช้บริการครับ รถสะอาด กว้างขวาง แอร์เย็นสบาย เสียงไม่ดัง ถึงแม้ว่าจะนั่งไม่สบาย โยกเยกบ้าง สั่นบ้าง แต่ก็ช่วยร่นระยะเวลาเดินทางได้มากในแต่ละช่วงสถานีที่รถแล่นผ่านช่วงสั้นๆ และช่วยได้มากทีเดียวหากต้องนั่งรถผ่านย่านที่มีรถติด จากคนละฟากของกรุงเทพจากลาดพร้าวสู่สำโรงคงใช้เวลากว่า3ชั่วโมง ซึ่งถ้าขับรถผ่านแยกลำสาลี หรือย่านวัดศรีเอี่ยม จุดละเกือบชั่วโมงแล้วครับ  นอกจากนี้หากมีเวลาท่านอาจแวะเที่ยวแวะช้อปปิ้ง ตามบริเวณใกล้เคียงสถานีต่างๆ อาทิ สวนหลวงร.9 ซีคอนแสควร์ หรือชมทิวทัศน์ของกรุงเทพ2ข้างทางที่รถไฟฟ้าวิ่งผ่านก็สวยงามน่าดูชมครับ 






  
เชิญมาใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองครับ อีกไม่นานรถไฟฟ้าMonorail สายสีชมพูจะเปิดทดลองให้บริการ ผมจะไปทดลองใช้บริการแล้วนำมาบอกเล่าต่อนะครับ สวัสดีครับ




       

  

เที่ยวจอร์เจียกับทัวร์ Ep.1 Georgia เที่ยว ยุโรป ราคาเอเชีย

google.com, pub-9296050589314666, DIRECT, f08c47fec0942fa0

       


 เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2565 ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวจอร์เจีย จึงขอนำสิ่งที่พบเห็นมาเขียนเล่าสู่กันอ่านเพลินๆครับ ทริปนี้ผมไปกับบริษัททัวร์ กำหนดโปรแกรมเที่ยว 6 วัน 4 คืน 

          สาธารณรัฐจอร์เจียเป็นประเทศที่อยู่ในทวีปเอเชีย อยู่ทางตอนใต้ของประเทศรัสเซียโดยมีเทือกเขาคอเคซัสกั้นกลาง ด้านทิศตะวันตกติดกับทะเลดำ ตะวันออกติดอัลเมเนียและอาเซอร์ไบจัน ส่วนด้านทิศใต้ติดกับประเทศตุรเกีย จอร์เจียเดิมเป็นสาธารณรัฐหนึ่งของสหภาพโซเวียต  จอร์เจียเป็นประเทศเล็กๆมีประชากรเพียง3.7 ล้านคน มีเมืองหลวงชื่อ ทบีลิซี (Tbilisi) เที่ยวจอร์เจียจะได้บรรยากาศกลิ่นอายของยุโรป ทั้งผู้คนที่มีหน้าตา รูปร่างสูงใหญ่แบบชาวยุโรป อาคารสิ่งปลูกสร้างต่างๆที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบยุโรป รวมทั้งความสวยงามของภูมิประเทศ ที่มีภูเขาสูง ป่าไม้ แม่น้ำ คล้ายๆกับสวิตเซอร์แลนด์ และสภาพอากาศที่มีทั้งฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิ จอร์เจียจึงเป็นเสมือนยุโรปในเอเชีย ค่าครองชีพที่จอร์เจียต่ำกว่ายุโรปทั่วๆไป หากเทียบกับสวิตเซอร์แลนด์แล้วที่จอร์เจียจะต่ำมากๆ  อาทิ ค่าโรงแรมที่จอร์เจียเป็นหลักพันบาทต่อคืน ระดับพันกว่าบาทถึงสามพันกว่าบาท  หรือหากไปกับทัวร์ราคาก็ราวๆ1 ใน3 ของทริปยุโรปครับ   นอกจากนี้คนไทยเข้าประเทศจอร์เจียได้โดยไม่ต้องใช้วีซ่า อยู่ได้นาน 365 วัน ไม่ต้องลุ้นวีซ่าเหมือนยุโรป น่าไปเที่ยวครับ

             


 

วันแรกของโปรแกรมทัวร์คือวันที่นัดเจอที่สนามบินสุวรรณภูมิ เจอกับทุ่ม เพื่อขึ้นเครื่องตีหนึ่งครึ่ง  แอร์เอเชียไฟล์นี้เป็นเครื่องบินเช่าเหมาลำ เป็นเครื่องแอร์บัสลำใหญ่ จุผู้โดยสารได้300 กว่าคน  ผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทยจากบริษัทนำเที่ยวหลายๆบริษัทด้วยกัน  บนเครื่องมีบริการอาหาร 2 มื้อครับ บินตรงจากสุวรรณภูมิถึง กรุง Tabilisi เมืองหลวงจอร์เจีย ใช้เวลาบินราวๆ10 ชั่วโมง 

                เช้าหลังจากถูกปลุกให้ตื่นเพื่อเสริฟอาหารเช้า มองจากหน้าต่างเครื่องบิน ด้านล่างเห็นเทือกเขาคอเคซัส ซึ่งกั้นยุโรปกับเอเชีย  บนยอดเขาส่วนใหญ่จะปกคลุมด้วยหิมะ เริ่มได้บรรยากาศแบบยุโรปแล้ว  เมื่อบินใกล้ถึงจอร์เจียท้องฟ้าปกคลุมด้วยกลุ่มเมฆหนาทึบ พอจะถึงที่หมายเครื่องบินลดเพดานบินฝ่ากลุ่มเมฆลงสู่สนามบินกรุงTbilisi อย่างปลอดภัย ที่สนามบินท้องฟ้าขมุกขมัวมีหมอกจางๆ สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่มากนักราวๆสนามบินแม่ฟ้าหลวง ขั้นตอนการเข้าเมืองไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องกรอกเอกสารใดๆเพียงแค่ยื่นพาสปอร์ต  เจ้าหน้าที่ไม่ซักถามอะไร ประทับตราก็ผ่านได้ แต่เนื่องจากคนเยอะใช้เวลาราว30 นาทีจึงผ่านต.ม ลงไปที่สายพานรับกระเป๋าซึ่งมี 2  สายพาน คนเยอะมากรอนานพอสวมควรกว่าจะได้กระเป๋า  บริเวณนี้ มีร้านแลกเงินและร้านแจกซิมการ์ดหลายร้าน  เรานำดอลล่าร์ไปแลกเงินของจอร์เจียติดไม้ติดมือไปเผื่อใช้ซื้อของเล็กๆน้อยๆ อัตราแลกเปลี่ยน 1 USD เท่ากับ 2.59Gel  หากคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ 14 บาท ต่อ 1Gelหรือ ลารี ส่วนซิมการ์ดไม่ได้ซื้อ เพราะมีโรมมิ่งจากเมืองไทย ที่จุดรับกระเป๋ามีห้องน้ำเล็กๆ ห้อง ต้องรีบเข้าทำธุระให้เสร็จ  ระหว่างรับกระเป๋าพบว่ามีคณะทัวร์จากไทยหลายคณะทีเดียว แต่ละคณะ ไกด์จะนำลูกทัวร์มารวมกลุ่มกัน  เมื่อคณะเราพร้อมไกด์ทั้งชาวไทยและจอร์เจียก็จะเดินนำเราออกจากสนามบิน ผ่านฉลุยไม่มีตรวจค้นสัมภาระ ครับ ออกจากสนามบินไม่ต้องมีลุ้นว่าจะมีใครมารับไหม รถที่เช่าไว้จะมาไหม จะถูกโกงไหม หากขับเองก็ต้องลุ้นอีกหลายเรื่อง   ไปกับทัวร์ตามไกด์ไปสบายใจ


                      เวลาที่จอร์เจียช้ากว่าบ้านเรา 3 ชั่วโมง ออกจากสนามบินโมงพอดี  สัมผัสกับอากาศหนาวราวๆ 8 องศาเซลเซียส ชื่นใจครับไม่ได้สัมผัสความหนาวเย็นมานานละ เดินตามไกด์ไปขึ้นรถบัสขนาด 50 ที่นั่ง รวมที่นั่งแถวยาวท้ายรถด้วย รถไม่มีห้องน้ำนะครับ แต่มีบริการWifi และมีที่เสียบชาร์ทแบตเตอร์รี่ทุกแถวที่นั่งครับ สบายใจหายห่วงเรื่องแบตหมดและเรื่องInternet


คงมีเพียงเรื่องห้องน้ำครับ ผมสูงวัยแล้วฉี่บ่อย ซึ่งที่จอร์เจียไม่มีห้องน้ำตามปั้มน้ำมันแบบบ้านเราครับ ส่วนสถานที่เที่ยวบางแห่งก็ไม่มี บางแห่งก็มีแต่เสียค่าเข้าครั้งละ 2 Gel ก็ราว 28 บาท ห้องน้ำบางแห่งก็ไม่ค่อยสะอาดนัก สิ่งที่ต้องระวังอย่างหนึ่งก็คือ มักจะมีกลุ่มมิจฉาชีพที่ช่วงชิงวิ่งราวนักท่องเที่ยวอยู่บ่อยๆ ต้องระวังกระเป๋าตลอดเวลาครับ   แต่โดยรวมแล้วน่าเที่ยวครับ อากาศช่วงเดือนพฤศจิกายน เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วง อุณหภูมิอยู่ในช่วง 4 - 14 องศา กำลังดีครับไม่หนาวจนเกินไป Ep.หน้าจะมาเล่าต่อถึงการเที่ยววันแรกที่จอร์เจียซึ่งไม่ควรพลาดอย่างยิ่งครับ


            

เที่ยวSalzburg ประเทศออสเตรีย

           Salzburg ชื่อนี้อาจไม่คุ้นนัก แต่หากเอ่ยถึงภาพยนต์เพลงชื่อก้องโลก The Sound of Music แล้วทุกคนคงรู้จัก หนังเรื่องนี้ถ่ายทำในเมือ...